โดยปกติเราจะเห็นซีรีส์ที่เริ่มเล่าเรื่องจากชีวิตก่อนแต่งงาน แต่ช่วงหลังมานี้ซีรีส์เกาหลีจะเริ่มต้นเล่าจากชีวิตหลังแต่งงานมาให้เห็นไม่น้อย อาจเพราะประเด็นชีวิตคู่กลายมาเป็นสิ่งที่อยู่ในความสนใจของประชากร ถือเป็น movement ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมเกาหลีใต้
Queen of tears มากกว่าแค่การเล่าเรื่องรักโรแมนติก แต่เป็นการฉายภาพชีวิตคู่ที่เกิดขึ้นหลังการใช้ชีวิตร่วมกัน แน่นอนว่าคนที่ถูกเลี้ยงดูมาต่างกัน เมื่อมาอยู่ร่วมกัน ย่อมไม่มีทางลงล็อกกัน 100% จะต้องมีส่วนที่ขาด เกิน เหลื่อมกันไปบ้าง ชีวิตหลังแต่งงานจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ ที่จะลดทอนบางมุมที่เกิน เติมบางจุดที่ขาด และเรียนรู้ที่จะหันด้านอันเหมาะสมประกบกันไป
ถือเป็นซีรีส์ดี ๆ ที่ถ่ายทอดมุมมองชีวิตคู่ไว้ได้อย่างน่ารัก ทั้งยังซ่อนนัยบางอย่างชวนผู้ชมตั้งคำถามได้อย่างแยบยล
และนี่คือ 6 นัย ที่ซ่อนอยู่ในซีรีส์ Queen of tears
- เราต่างกำลังตามหา Sanssouci ของตัวเอง
ฉากพระราชวังที่เห็นในเรื่อง คือ พระราชวัง Sanssouci ในเยอรมนี สร้างขึ้นในปี 1745-1747 บนเนินเล็ก ๆ ที่ปกคลุมไปด้วยลานไร่องุ่น ตามแนวคิดของกษัตริย์ฟรีดริชที่ 2 ชื่อ “Sanssouci” แปลว่า “ไร้ความกังวล”
พระราชวังแห่งนี้กลายเป็นที่พักผ่อนของพระองค์กับสุนัขเกรย์ฮาวด์แสนรัก เวลาที่อยากหลีกหนีเรื่องยากลำบาก หรือเรียกง่าย ๆ เอาไว้เป็นพื้นที่เซฟโซนของเขานั่นเอง
เช่นเดียวกัน ที่ผู้กำกับเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นโลเคชันในการถ่าย แล้วผูกเข้ากับปมตัวละครเอก ก็เพื่อเน้นย้ำให้เห็นถึงชีวิตคู่ ที่ทุกคู่ต่างตามหาคนที่เป็นเหมือน ‘พื้นที่ไร้กังวล’ ให้กับตน
2. ทุกตัวละครในเรื่องล้วนอยู่ในความสัมพันธ์ทั้งหมด
จะเห็นว่าตัวละครในเรื่องล้วนเป็นคู่สามีภรรยาทั้งหมด ทั้งครอบครัวพระเอก-นางเอก เพื่อนฝูงก็เช่นกัน ไปจนถึงเลขาในออฟฟิศ ล้วนถูกสร้างคาแรกเตอร์มาให้เป็นคนมีครอบครัวหมดเลย เพื่อเน้นย้ำเรื่องราว ‘ความสัมพันธ์’ ฉันท์ครอบครัวในทุกรูปแบบ
ทั้งรูปแบบที่จบลงด้วยการหย่า เช่น คุณอาของแฮอิน หรือแบบทั้งรักทั้งกัด อย่างพ่อแม่ฮยอนอู หรือแบบทะนุถนอมกันดีอย่างน้องชายนางเอก ล้วนทำให้เห็นว่า ทุกคู่ต่างมีปัญหาของตัวเองทั้งนั้น ไม่ใช่เพียงตัวเอกของเรื่องเท่านั้น ไม่มีชีวิตคู่ไหนที่ประสบความสำเร็จ 100%
เพราะชีวิตคู่ไม่ต่างจากการโดยสารไปกับเพื่อนร่วมทางที่เกิดมาต่างพ่อต่างแม่ ย่อมโตมาคนละแบบ เป็นธรรมดาที่จะกระทบกระทั่งกันบ้าง ความเห็นไม่ลงรอยกันบ่อย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องนั่งร่วมทางกันไป เฉกเช่นที่แฮอินพูดว่า “ความรัก คงเป็นการที่คนเราเลือกจะอยู่ แทนที่จะไป”
3. น้ำหนักของความรัก = น้ำหนักของร่ม
เพียงแค่การถือร่มก็แสดงได้ถึงความห่วงใยที่ใครคนนั้นมีให้คุณแล้ว
ใน Ep5 มีฉากที่เห็นได้ชัดว่าฮยอนอูถือร่มเอียงไปทางแฮอินจนไหล่ขวาตัวเองเปียกฝน
ซีรีส์เกาหลีหลายเรื่องยังชอบเปรียบเปรยความรักกับวันฝนพรำ และร่มคันหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง
เพื่อให้คนได้สังเกตการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนข้างกาย ที่แม้ในวันนั้นคุณจะทะเลาะกันมากขนาดไหน แต่สุดท้ายก็ยังเดินกลับบ้านด้วยกัน ภายใต้ร่มคันเดียว ที่อีกคนยอมเปียกปอน เพื่อให้อีกคนอยู่ในร่ม ความรักคงเป็นอะไรแบบนี้
4. รองเท้า เปรียบเปรยเหมือนความไว้วางใจ
รองเท้าส้นสูงคือเครื่องแต่งกายที่สำคัญกับผู้หญิงมาก เปรียบเหมือนกรอบรูปที่เก็บความเรียบร้อยของชิ้นงานศิลปะ
รองเท้าเองก็เช่นกัน มาเติมเต็มให้ลุคของคุณในวันนั้นออกมาเป็นภาพรวมที่สมบูรณ์
การที่ซีรีส์ต้องมีซีนให้นางเอกเปลี่ยนรองเท้าเวลาอยู่กับฮยอนอู ก็เพื่อจะสื่อว่า ในเรื่องแฮอินมักจะใส่รองเท้า ที่ส้นสูงลิ่วพอ ๆ กับความมั่นใจของเธอ แต่เมื่ออยู่กับฮยอนอู แฮอินไม่จำเป็นต้องสวมมันเพื่อดูดีต่อหน้าเขา ยอมเปลี่ยนใส่รองเท้าผ้าใบสบาย ๆ แม้จะขัดกับเดรสของเธอก็ตาม แต่ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะเธอวางใจในตัวคนรัก ไร้ความกังวลที่จะเผยด้านที่ไม่สมบูรณ์แบบ
ใน EP9 ยังมีซีนที่แม่ของแฮอินต้องยอมถอดรองเท้าคู่สวยของตัวเอง ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ แล้วใส่รองเท้าแตะของที่บ้านฮยอนอู นับเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่ผู้กำกับตั้งใจใส่เข้ามา
5. ดีไซน์ที่ซ่อนอยู่ในเรื่อง ที่โดดเด่นเลย คือ ห้องทำงานของแฮอิน
ห้องทำงาน รวมถึงบ้าน ห้องนอนของแฮอิน ออกแบบ Minimalism น้อยแต่มาก “Less is more” คือ เน้นใช้แค่องค์ประกอบที่จำเป็นเพื่อสร้างพื้นที่เรียบง่ายแต่รวบความได้อย่างโดดเด่น ภายในห้องจะมีเฉพาะสิ่งที่เพิ่มมูลค่าและความหมายให้กับชีวิต ไม่ค่อยมีของตกแต่งที่ไม่จำเป็น เห็นได้ชัดเลยว่าสิ่งของในห้องแฮอินล้วนเป็นของสะสมที่นานวันจะมีมูลค่ามากขึ้น เพราะเธอมีนิสัยมักจะตีราคาทุกอย่างเป็นตัวเลขเสมอ
มินิมอลลิสต์มองเผิน ๆ จะคล้ายคลึงกับสไตล์โมเดิร์นเป็นอย่างมาก ดีไซน์นี้จะเล่นกับแสงสว่าง ความเรียบง่าย เส้นสายที่สะอาดตา และพื้นที่โปร่งสบาย พื้นที่ค่อนข้างเปิดโล่ง ตั้งเฟอร์นิเจอร์ที่เน้นการใช้งานเป็นหลัก แต่มีรูปทรง สี และพื้นผิวขององค์ประกอบพื้นฐานเพียงไม่กี่อย่าง ห้องสไตล์นี้จะเห็นได้กับห้องของคนดังหลาย ๆ คน มีเส้นกั้นระหว่างคำว่าความเรียบง่ายกับความเย็นชา
6. ผลงานศิลปะที่ซ่อนอยู่ในฉาก
ทั้งสถานที่ทำงาน บ้าน ล้วนเป็นฉากที่กองถ่ายเซตขึ้นทั้งหมด ทำให้ทีมดีไซน์ต้องออกแบบแต่ละสถานที่อย่างเต็มรูปแบบ การจะหยิบจับสิ่งใดเข้ามาอยู่ในฉากล้วนผ่านการคิดมาแล้วอย่างดี สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือมีผลงานศิลปะอยู่ในฉากถึง 18 ชิ้น เป็นของศิลปินฝรั่งเศสร่วมสมัย นามว่า David Jamin
ผลงานของเขาถูกจัดแสดงในแกลเลอรีหลายแห่งทั่วฝรั่งเศส และในต่างประเทศ เช่น ลอนดอน, สกอตแลนด์ ทั่วทั้งสหราชอาณาจักร, สวิตเซอร์แลนด์, เบลเยียม, ฮอลแลนด์, เยอรมนี, สหรัฐอเมริกา, จีน, เม็กซิโก รวมถึงเกาหลีใต้
ผลงานของเดวิดชอบใช้สีน้ำมัน อะคริลิก มักแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่มั่นคง ผ่านช่วงเวลาที่แตกต่างกัน มีทั้งความอ่อนไหวและความแข็งแกร่ง แสดงออกถึงความสุขตามธรรมชาติของชีวิต ถ่ายทอดจิตวิญญาณมนุษย์ เป็นลักษณะเฉพาะของผลงาน
ซึ่งสัมพันธ์กับตัวละครหลัก ที่เมื่อผ่านกาลเวลาไปความรู้สึกก็แปรเปลี่ยนเป็นอีกแบบ มิติหนึ่งอาจจะดูเเข็งกร้าว แต่อีกมุมกลับอ่อนไหว ตรงกับสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งพึงมี
และภาพที่ติดอยู่หน้าห้องทำงานของแฮอิน มีชื่อว่า “la passion” หรือ ความลุ่มหลง
–







