Trend/หากถามว่าประเทศไหนที่มีพัฒนาการน่าสนใจสุดในเอเชียในช่วงไม่ถึงหนึ่งชั่วอายุคน 3 คำตอบแรกของคนส่วนใหญ่ อาจเป็น จีน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์

จากการขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจใหม่ของโลก ต้นแบบ Soft power ยุคใหม่ และประเทศพัฒนาแล้วหนึ่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามลำดับ
แต่ช่วงราว 5 ปีมานี้มีอีกประเทศเอเชียที่พัฒนาการน่าสนใจ นั่นคือ เวียดนาม หลังสามารถดึงดูดการลงทุนจากบรรดาประเทศตะวันตกในหลายธุรกิจ ไล่ตั้งแต่ของเล่น เทคโนโลยี โกดังโรงงาน

ภาคการผลิตไปจนถึงพลังงาน เพราะเป็นประเทศที่ค่าจ้างแรงงานถูก การเมืองค่อนข้างนิ่ง และได้อานิสงส์จากการที่สหรัฐฯ และยุโรปทยอยย้ายฐานการผลิตมาเวียดนาม เพื่อลดการพึ่งพาจีนมากเกินไป
แต่แล้วก็มีเรื่องสะดุด เป็นเหตุให้บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มาทุ่มเงินลงทุนและกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต้องจับตามองเวียดนาม

ช่วงพฤษภาคม 2024 เวียดนามสัดส่วนในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากถ่านหินของเวียดนามอยู่ที่ 68% เพิ่มจากเพียง 1 ใน 3 ของสัดส่วนการผลิตทั้งหมดตามปกติ ดันทั้งกำลังการผลิตในประเทศและปริมาณนำเข้าถ่านหินพุ่งปี 2024 ให้สูงขึ้น
โดยมีอินโดนีเซียได้ประโยชน์ไปมากสุด เพราะ 4 เดือนที่ผ่านมาของปี 2024 เวียดนามนำเข้าถ่านหินจากอินโดนีเซียเพิ่มเป็น 68%

สถานการณ์ดังกล่าวเกิดจากปัญหาไฟฟ้าดับบ่อย ๆ ในเวียดนาม จนฉุดให้สายการผลิตของโรงงานมากมายในประเทศซึ่งมีบริษัทใหญ่ ๆ เช่น Foxconn Lego Intel และ Samsung รวมอยู่ด้วยต้องสะดุด

ท่ามกลางรายงานว่า รัฐบาลเวียดนามต้องขอร้องให้บริษัทใหญ่ ๆ ของต่างประเทศที่มีโรงงานในเวียดนามลดกำลังการผลิตลง 30% เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า
และตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจ 1,400 ล้านดอลลาร์ (ราว 51,300 ล้านบาท) จากปัญหาไฟดับ ซึ่งคิดเป็น 0.3% จากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)

แม้เวียดนามอ้างว่าเป็นปัญหาระยะสั้นและกำลังเร่งกอบกู้สถานการณ์ เพื่อลดสัดส่วนการใช้ถ่านหินผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ปัญหาไฟฟ้าดับย่อมกระทบต่อชื่อเสียงของเวียดนาม ในฐานะดงโรงใหญ่แห่งใหม่ของเอเชีย
จนบริษัทใหญ่ ๆ ต้องทบทวนว่าจะลงทุนสร้างโรงงานในเวียดนามแทนที่จีนต่อไป หรือย้ายไปประเทศเพื่อนบ้านของเวียดนามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดี

นอกจากนี้ การเพิ่มสัดส่วนการผลิตกระแสไฟฟ้าจากถ่านหินของเวียดนามยังจะสร้างความไม่พอใจให้องค์กรด้านสิ่งแวดล้อม
เพราะถ่านหินสร้างมลพิษในปริมาณมาก ในยุคที่การลดการปล่อยมลพิษเป็นประเด็นระดับโลกที่ทุกบริษัทต้องใสใจ

ยังมีอีกเรื่องที่จะได้รับผลกระทบจากเพิ่มสัดส่วนการผลิตกระแสไฟฟ้าจากถ่านหินของเวียดนาม นั่นคือ อาจทำให้การเลิกใช้ถ่านหินผลิตกระแสไฟฟ้าของเวียดนามในปี 2030 อาจต้องเลื่อนออกไป
ส่วนประเทศที่จะได้รับผลดี หรืออาจเรียกได้ว่าสถานการณ์แบบส้มหล่นจากปัญหาด้านพลังงานของเวียดนาม คือ อินโดนีเซีย และไทย

เพราะมีโรงงานต่างชาติอยู่มากมายอยู่แล้ว จึงถือเป็นหลักฐานยืนยันถึงความพร้อม และยังมีความพร้อมด้านพลังงานมากกว่าเวียดนามอีกด้วย/dw
–
