ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจที่สังคมโอดครวญว่าซบเซา แต่ตัวเลขรายได้จากอุตสาหกรรมภาพยนตร์กลับสวนทาง ครึ่งปีแรกมีหนังไทยทำเงินได้เกินกว่าร้อยล้าน ทั้ง “หลานม่า” 1,200 ล้านบาท และ “อนงค์” 200 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้นำออกฉายต่างประเทศทั่วอาเซียน
คุณนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การรับชมภาพยนตร์ยังคงเป็นความบันเทิงราคาถูก (Out of Home Entertainment) ที่คนสามารถหาเติมความสุขได้ด้วยราคาเป็นมิตร ทำให้แม้กำลังซื้อหรือเศรษฐกิจในประเทศเป็นลบ แต่รายได้ของภาพยนตร์กลับสวนทาง เพราะยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับสภาวะตึงเครียดคนก็ยิ่งมองหาความบันเทิงพักผ่อนจิตใจ
ในครึ่งปีแรกหนังไทยคือผู้กอบกู้ตลาดภาพยนตร์ไว้ มีหนังฟอร์มยักษ์อย่าง “หลานม่า” ที่ได้รับความนิยมไปทั่วอาเซียน รวมถึง “อนงค์” ที่ทำตัวเลขได้ดี ทำให้ภาพรวมในครึ่งปีแรกอุตสาหกรรมหนังเติบโตได้ดี
แต่ดูเหมือนว่าหนังไทยจะแบกต่อไม่ไหว เพราะแม้จะทำเงินได้ดีหลายเรื่อง แต่การขาดหนังฝั่งฮอลลีวู้ดมาเสริมทัพ อาจทำให้เมเจอร์ต้องเร่งเครื่องในช่วงครึ่งหลังของปีค่อนข้างหนัก พร้อมส่งไม้ต่อให้หนังฮอลลีวู้ดที่จ่อโรงเข้าฉาย อาทิ Deadpool, Gladiator ในช่วงไตรมาส 3 และ 4
“ธุรกิจโรงภาพยนตร์เมื่อมีหนังใหญ่เข้าฉาย ตัวเลขรายได้จะค่อนข้างดีตามไปด้วย เพราะภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดส่วนใหญ่ฉายในระบบ IMAX Laser ซึ่งรายได้จะดีกว่าโรงทั่วไป และในไตรมาสสาม Deadpool น่าจะเป็นเรื่องชูโรงและช่วยครึ่งหลังของปีได้มากพอสมควร”
2567 หนังไทย คือ พระเอก
ขณะเดียวกัน กล่าวได้ว่า ‘ปีนี้หนังไทยน่าจะเป็นพระเอก’ ในแง่ความนิยม เพราะหนังไทยมีกระบวนท่าการเล่าเรื่องใหม่ ๆ หลากหลายแนวออกมาจำนวนมาก ทลายกรอบแบบเดิม ๆ ที่วนเล่นอยู่แค่เรื่องผีสาง หรือตลกขำขัน
ครึ่งหลังของปีภาพยนตร์ไทยมีหนังจากค่ายใหญ่ GDH รอเข้าฉายอีกสองเรื่อง รวมถึงหนังภาคต่อที่ทุกคนรอคอยอย่าง “ธี่หยด 2” และยังมีหนังของเมเจอร์อย่าง “มานะแมน” อีกเรื่อง นับสิบเรื่องที่เมเจอร์ผลิตในปีนี้ และจะเพิ่มปริมาณผลงานผลิตจำนวนเท่าตัวในปีถัดไป เพราะเมเจอร์เชื่อว่าหนังที่ดีจะทำให้คนมาดูหนังที่โรง
มาร์เก็ตแชร์หนังไทยในปีนี้ สัดส่วนคนดูหนัง 60% ภาพยนตร์ไทย และ 40% ภาพยนตร์ต่างประเทศ แต่ในปีหน้าจะเป็นเวลาทำเงินของหนังฮอลลีวู้ด อาจทำให้สัดส่วนปรับอยู่ที่ 50%
ในแง่ของปริมาณหนังไทยก็เติบโตขึ้นมาก ซึ่งในประเทศที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศแข็งแรง จะต้องมีสัดส่วนคอนเทนต์ระหว่างโลคอลกับต่างประเทศอย่างละครึ่ง (Golden ratio)
ปัจจุบันปริมาณหนังที่เข้าฉายต่อปีเป็นของฮอลลีวู้ดกว่า 200 เรื่อง ส่วนหนังไทยอยู่ที่ 40 – 50 เรื่อง ปริมาณหนังไทยที่เพิ่มขึ้นยังเป็นผลมาจากโอกาสทางธุรกิจที่มีมากขึ้น เพราะทุกวันนี้หลังจากฉายในโรงภาพยนตร์จบ ผู้ผลิตสามารถขายสิทธิ์ลงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่อได้ สร้างรายได้อีกทาง
โรงภาพยนตร์ต้องขายประสบการณ์ใหม่ ๆ
เมเจอร์เดินหน้าขยายโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัดเพิ่ม จากที่มีอยู่ในมือขณะนี้ 800 จอ 200 สาขา รวมถึงเร่งขยายโรงภาพยนตร์เด็ก (kids cinema) จากเดิม 14 สาขา เป็น 40 สาขาภายในสิ้นปีนี้ รับตลาดแม่และเด็กที่เติบโตดี พร้อมทั้งขยายระบบ IMAX Laser ล่าสุดที่เดอะมอลล์บางกะปิ เซ็นทรัลเวสต์เกต และเชียงใหม่
เสริมเกราะความแข็งแรงให้อุตสาหกรรมหนังไทย
กระแสหนังไทยในต่างประเทศขณะนี้กำลังได้รับการตอบรับที่ดีจากในประเทศเพื่อนบ้าน หลายเรื่องเริ่มตีตลาดอาเซียนได้ เป็น Product of Thailand ที่คนให้การยอมรับ ซึ่งจากนี้หนังไทยจะยิ่งถูกยกระดับให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นอีก
“แต่แม้ปริมาณหนังและคุณภาพของหนังจะเพิ่มขึ้น แต่ประเทศไทยยังขาดการส่งเสริมจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่จะนำพาสายงานนี้เป็นสายอาชีพที่มั่นคง ดั่งเช่นในต่างประเทศ ที่อาชีพนักเขียน ผู้กำกับ คนเบื้องหลังเหล่านี้สามารถทำเป็นกิจจะลักษณะได้ในระยะยาว เป็นอาชีพที่มั่นคง แต่ในไทยยังเป็นการจ้างงานในรูปแบบฟรีแลนซ์ ว่าจ้างเป็นระยะสั้น ๆ ไป เกิดความไม่มั่นคงในสายงาน ภาครัฐสามารถเข้ามาส่งเสริมเรื่องความรู้ในแต่ละสายงานอาชีพ เช่น เมคอัพอาร์ติสต์ ผู้กำกับ โปรดักชั่น ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อกวาดต้อนคนเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น”
–
