‘ความลุ่มหลง’ ยามเมื่อความชอบพออันผิวเผินจางหายไป เหลือเพียงความดักดาน ไร้หนทางไป

‘ความไว้ใจ’ ยามเมื่อสูญสลายทุกสิ่ง จึงจะเห็นถึงหนามแหลมที่พร้อมทิ่มแทงทุกอย่าง

‘ความรัก’ ยามเมื่อถูกกดทับด้วยกฎหมาย กลายเป็นเพียงสายใยสวาทอันไร้ที่ยืน

คำว่า “รัก” เป็นนามธรรมที่อธิบายได้ยากที่สุด ยิ่งเมื่อพูดถึงในแง่ที่มีขนบธรรมเนียม บรรทัดฐานสังคม ตัวบทกฎหมาย มาเกี่ยวข้อง ยิ่งไม่สามารถหาคำนิยามใด ๆ มาให้ใกล้เคียงได้เลย

รักไร้สิ่งรับรอง  ไร้กฎหมายรองรับ

“ทองคำ” และ “เสก” คู่รักชายชายที่อยู่กินช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยการทำสวนทุเรียน บนที่ดินติดจำนองของเสก  แต่ทองคำหาเงินมาไถ่ที่ดินออกและมอบเป็นของขวัญให้เสก โดยที่ไม่คาดคิดเลยว่าวันหนึ่งแฟนหนุ่มของเขาจะด่วนจากไป

“แม่แสง” มารดาของเสก ทันทีที่รู้ว่าลูกชายเสียชีวิต ก็รีบมาโอนชื่อที่ดินไปเป็นของตนทันที โดยอ้างสิทธิ์ความเป็นแม่ แม้ทองคำจะบอกว่าที่ดินนั้นตนเป็นคนไถ่ถอนมาเอง เป็นเงินเขาเองทั้งหมด ขอร้องให้แม่แสงยอมคืนที่ทำกินให้เขาแต่โดยดี แต่แม่กลับอ้างสิทธิ์ว่า ของของลูกก็เหมือนของของแม่ เพราะลูกเป็นสมบัติของพ่อกับแม่ และศาลก็ตัดสินเห็นควรตามนั้น

นั่นทำให้ทองคำไร้ซึ่งหนทางคัดค้าน แม้จะหอบเอาภาพถ่ายที่ยืนยันความเป็นคู่ชีวิต ร่วมหลับนอนด้วยกันกับเสกไปขอให้เชื่อในความสัมพันธ์ก็ตาม แต่ในทางกฎหมายความรักของผู้มีความหลากหลายทางเพศ LGBTQIA+  ไม่ถูกยอมรับ ดังนั้น ทองคำจึงไร้ซึ่งทางไป ทางเดียวที่จะได้โฉนดที่ตนลงแรงกลับคืนมา คือต้องให้แม่แสงยอมยกที่ดินให้แต่โดยดี

แต่งานนี้ไม่ง่าย เพราะมีคู่ท้าชิงอีกหนึ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ “โหม๋” หญิงสาวชายขอบไม่มีการศึกษา ชีวิตยากจนข้นแค้น ผู้ที่แม่แสงเก็บมาเลี้ยงดู และเธอกลายเป็นคนดูแลแม่แสง ทั้งเช็ดอุจจาระ ปัสสาวะให้ ไม่ต่างจากคนรับใช้  โหม๋เองก็อยากให้แม่แสงยกที่ดินให้กับตนเช่นกัน สมกับที่เธอปรนนิบัติรับใช้มาตลอด  ทั้งสองจึงพยายามเอาอกเอาใจแม่แสง เพื่อเป้าหมายหนึ่งเดียวคือโฉนด และสวนทุเรียนมูลค่านับล้านบาท

แต่สุดท้ายที่ดินจะตกเป็นของใคร ระหว่างแฟนเกย์ของลูกชาย หรือลูกนอกไส้ที่รับใช้มานาน

การแก่งแย่ง ไล่ต้อนเข้ามุมแบบทีใครทีมัน แลกกันหมัดต่อหมัดของตัวละคร ‘ทองคำ’ กับ ‘โหม๋’ ทำคนดูหายใจไม่ทั่วท้อง กดดัน และอัดอั้นไปตาม ๆ กัน จนทำให้ฉากที่ตัวละครกรีดร้องในช่วงท้าย มีพลังจนทำให้คนดูรู้สึกปลดล็อกไปด้วย

การที่หนังสามารถบีบคั้นอารมณ์ได้เพียงนี้ ต้องยกความดีความชอบให้โปรดักชัน ที่ทำงานกันอย่างละเอียด ใส่ใจทุกขั้นตอน จนทำให้หนังออกมาสมบูรณ์แบบ

การถ่ายทำด้วยเลนส์  Anamorphic Lens ที่ทำให้เห็นแลนด์สเคป เอาธรรมชาติยัดเข้ามาอยู่ในเฟรมให้พอ ทั้งยังรักษาเสียงธรรมชาติ เสียงลม เสียงยุง เสียงฝน เสียงจั๊กจั่น เสียงไก่ ไว้แทบจะทุกฉาก เพื่อให้มนุษย์กลายเป็นคนตัวเล็กเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ให้อารมณ์โดดเดี่ยว

การจัดวางองค์ประกอบของภาพ ยังแสดงถึงนัยลำดับชั้นของตัวละครอีกด้วย ดังจะเห็นว่าในฉากที่รวมตัวละครไว้ในเฟรมเดียว ผู้กำกับใช้วิธีเล่นเลเยอร์แทนที่จะทำแบบ Low angle แต่จะให้แม่แสงเป็นตัวละคนที่กินพื้นที่อยู่ข้างหน้า ส่วนตัวละครเช่นโหม๋และทองคำจะอยู่ข้างหลัง ไม่ก็ต่ำกว่าแม่แสงเสมอ เพื่อแสดงถึงระดับขั้นอำนาจของตัวละคร ผู้ลอยตัวอยู่ทุกสิ่งเพราะกุมสิทธิ์ไว้ได้ก็จะเด่นชัดอยู่ข้างหน้าตลอด

แฟชั่นชายตะเข็บของชายขอบ

พอธีมของหนังเน้นใช้สีจัดจ้านสะท้อนไทยสไตล์ คือ สีเขียวนีออน ชมพูแจ๊ด ส้มจี๊ด อย่างซีนงานบวช ที่ระเบิดพลังของสีอย่างเด่นชัด  ชุดเสื้อผ้าของตัวละครก็เจ็บจี๊ดตามด้วย

อย่าง ทองคำที่มักจะสวมเครื่องแต่งกายจัดจ้าน แฟชั่นจ๋า ไม่เข้ากับบริบทต่างจังหวัด แต่แท้จริงแล้วคอสตูมได้ทำการบ้านมาอย่างดี ทองคำคือหนุ่มที่รักการแต่งหน้าแต่งตัว แต่เมื่อต้องมาทำงานชาวสวน จึงได้แต่แสดงความเป็น fashionable ของตนผ่านเสื้อผ้า แม้จะเป็นชุดชาวสวนก็ยังจัดจ้าน ใช้สีเจ็บแสบเป็นเครื่องมือสะท้อนความแฟชั่นในแบบของเขา แม้จะไม่ใช่คู่สีที่ถูกต้อง แต่โดยรวมกลับกลมกลืนเมื่อทองคำเป็นคนใส่

ชุดหนังขนเฟอร์ก็เป็นอีกหนึ่งชุดที่ซ่อนนัยอันน่าสนใจ เพราะทองคำถูกวางคาแรกเตอร์เป็นหนุ่มเชียงใหม่ที่มาจากครอบครัวชนบท ทางเดียวที่จะซื้อเสื้อผ้าแบรนด์หลักพันได้ก็เป็นตลาดมือสอง ทำให้ชุดของทองคำดูตัดเย็บดีงานแบรนด์ แต่สีกลับซีดจาง รอยเย็บแตกระแหง ดูก็รู้ว่าผ่านการใช้งานมาหลายมือ ดังกางเกงยีนส์ขาม้าตัวโปรดที่เขาชอบใส่

นอกจากเครื่องแต่งกายแล้ว สังเกตว่าดีเทลข้าวของเครื่องใช้ที่พบในฉากล้วนมีลายฉูดฉาด ทั้งผ้าห่ม ฟูกนอน มุ้ง ผ้าม่าน สีสัน สะดุดตา ซึ่งตรงกับสังคมต่างจังหวัดที่ข้าวของจะมีแต่สีสันเตะตา ซื้อได้ตามตลาดนัด ให้นึกถึงกระเบื้องบ้านที่ต่างจังหวัด ที่มักจะเป็นสีสดใสลายดอกไม้

แค่ชื่อหนังก็บอกทุกอย่าง “วิมาน-หนาม”

การใช้คำคู่ตรงข้ามเป็นกลวิธีทางภาษาที่ทำให้การใช้ภาษาดูมีชั้นเชิง โดยในบริบทนี้ หนังใช้โวหารภาพพจน์แบบปรพากย์ (Paradox) ด้วยการเลือกคำว่า “วิมาน” หมายความว่า ที่อยู่หรือที่ประทับของเทวดา ย่อมสื่อถึงสถานที่โอ่อ่างดงามดั่งสวรรค์ กับ “หนาม” ที่ให้ความรู้สึกอันตราย ระแวดระวัง เสียดแทง เจ็บปวด เพื่อเน้นย้ำถึงเนื้อหา อันมีที่ดินพร้อมสวนทุเรียนเป็นเหมือนดั่งวิมานที่ใครต่างก็ปรารถนาจะครอบครอง แต่ต้องแก่งแย่ง ช่วงชิง เพื่อให้ได้มา สถานที่อันสวยงามและมีคุณค่านี้จึงเปรียบเหมือนวิมานที่แฝงไปด้วยหอกหนามอันคอยทิ่มแทงทุกคนให้เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

หนังที่พูดถึง “ความเท่าเทียม”  ด้วย “ความไม่เท่าเทียม”

หรือเพราะความเท่าเทียมมันไม่มีอยู่จริงคนจึงต้องเรียกร้อง หากว่ากันตามธรรมชาติของสรรพสิ่งแล้ว ไม่ว่าจะชายหรือหญิงต่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ความแตกต่างคือจุดเริ่มต้นของความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียม

หนังได้สอดแทรกประเด็นนี้ไว้อย่างสนใจ มองในเชิงกายภาพ ชายถูกสร้างมาให้กำยำ พละกำลังมากกว่าหญิง ซึ่งเราก็ต้องยอมรับในจุดที่แตกต่างนั้น

แม้หนังจะพยายามพูดถึงความหลากหลายทางเพศ แต่กลับไม่ลืมใส่ประเด็นที่ว่าแม้จะมีเพศที่ตรงชาติกำเนิดก็มิวายถูกกดขี่เช่นกัน เพราะสุดท้ายกำแพงของทุกความแตกต่าง คือ กฎหมาย ที่ครอบงำทุกคนไว้

หนังสะท้อนประเด็นกลุ่มคนชายขอบ ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับชะตาชีวิต เพียงแค่การได้ชมโทรทัศน์โดยที่ไม่ต้องพึ่งแบตเตอรี่ปั่นไฟ  ได้กินเนื้อหมูแทนเศษกะหล่ำปลี หรือได้เดินเข้าไปช้อปปิ้งในร้านสะดวกซื้อ แล้วซื้อแซนด์วิชกิน เพียงเท่านั้นก็ถือว่าเป็นมื้อหรูแล้ว

ความเหลื่อมล้ำของเศรษฐกิจที่ไปไม่ถึงกลุ่มคนชายขอบที่ถูกทอดทิ้งไว้บนดอยนี้ ซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกร ผู้ผลิตอาหารให้คนปลายน้ำอิ่มหนำ แต่พวกเขากลับอดมื้อกินมื้อ ใช้ชีวิตตามมีตามเกิด  เป็นปัญหาที่ไม่ยากหากรัฐลงมือทำอย่างจริงจัง แต่ก็ใช้เวลาแก้กันมายาวนานหลายยุคหลายสมัย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความหลากหลายทางเพศที่เป็นงานยาก และต้องต่อสู้กับขนบธรรมเนียม ค่านิยม บรรทัดฐานสังคม ที่ต่อต้านสุดฤทธิ์

ดังจะเห็นว่าในตอนหนึ่งแม่แสงพูดคำว่า “การรักเพศเดียวกันเป็นบาป เป็นผลกรรมจากอดีตชาติที่เคยไปผิดลูกผิดเมียคนอื่น” ซึ่งหลายคนก็ยังมีความเชื่อเช่นนี้อยู่จำนวนมาก

เพราะ ‘มนุษย์’ ให้คุณค่ากับวัตถุมากกว่านามธรรมอันจับต้องไม่ได้

แต่ในที่นี้มิได้หมายถึง คุณค่าทางจิต แต่คือคุณค่าทางวัตถุ การให้ค่าในสิ่งสมมุติ เช่น เงินตรา เสื้อผ้า รถรา บ้านช่อง ล้วนเป็นวัตถุที่ซื้อใจมนุษย์ได้เสมอ โดยเฉพาะกับคนที่ไม่เคยได้สัมผัสสิ่งมีค่ามาตลอดชีวิต ตัวละครที่สะท้อนเรื่องนี้ได้ดีคือ “แม่แสง” หญิงชราที่ตรงกับค่าเฉลี่ยของผู้สูงอายุในต่างจังหวัด ที่หันหน้าเข้าวัด แต่ยังละความโลภไม่ได้ เพราะตลอดชีวิตจับจอบจับเสียม ไม่เคยได้จับเงินจับทอง เมื่อมีโอกาสจึงทำใจละได้ยาก

ไม่ต่างจาก “โหม๋” หญิงสาวไร้การศึกษา อ่านเขียนไม่ออก ทั้งชีวิตรู้แค่การใช้แรงงานแลกเงิน จึงไม่มีทางจินตนาการออกว่า หากเธอไม่พึ่งเพศที่แข็งแกร่งกว่าจะใช้ชีวิตได้อย่างไร จึงฝากชีวิตไว้กับผู้ชาย หวังว่าเขาจะเป็นแสงสว่างนำทางชีวิตอันมืดมัวของเธอ เมื่อมองเห็นเงินทองโหม๋จึงตาลุกวาว คิดว่าทรัพย์สมบัตินั้นจะเป็นคำตอบที่พาเธอออกไปจากชีวิตโสมมนี้

ถอดความนัย “เพลงเหมือนวิวาห์” ost. และสัญลักษณ์ของ ‘ฝน’

นอกจากหนังที่มีเรื่องให้วิเคราะห์มากมาย  เพลงประกอบภาพยนตร์ยังมิวายมีรายละเอียดที่ดีมาก ๆ อีก สรุปความรู้สึกของตัวละครไว้ในบทเพลงได้อย่างเพอร์เฟกต์

เพลง เหมือนวิวาห์ (Rain wedding) Verse แรกจะเล่าเรื่องความรักของทองคำกับเสก โดยขึ้นด้วยท่อนที่ว่า “ท่ามกลางหมู่ดอกไม้มากมาย ทันใดฝนกลับรังแก เหยียบดวงใจ”  สื่อถึงว่าตอนที่ความรักสุกงอมโชคชะตากลับเล่นตลกกับคนทั้งคู่ พรากช่วงเวลาอันแสนสุขไปอย่างไร้ปรานี ดังกิมมิกเล็ก ๆ ในมิวสิกวิดีโอ ท่อนที่ร้องว่า “ฝนที่เทลงมาบนมือเรา” คำว่ามาถูกขีดฆ่า แต่ยังเห็นรอยลบชัดเจน ก็เพื่อจะสื่อถึงรักที่ไม่สมหวัง

แต่ Verse 2 จะเป็นการเล่าในมุมตอนที่ทองคำมาเจอจิ่งนะ  “รักที่เคยได้พบและผ่าน ในวันนี้เป็นดังเงา เฝ้ารังควาญ ขังฉันอยู่ในกรงน้ำตา แต่เธอพาใจฉันออกมา” สื่อถึงว่า ทองคำได้ผ่านความรักอันแสนเจ็บปวดมา และต้องเผชิญกับปัญหาหนักอึ้งมากมาย แต่เมื่อมาพบจิ่งนะ เหมือนแสงสว่างที่พาเขาออกจากความมืดมน

คำว่า “ฝน” ผู้ประพันธ์ยังใช้ภาพพจน์แบบอุปมาดัง ในท่อนที่ว่า “ฝนร่วงโรยดังรักล่วงเลย”  เพื่อให้ฝนเป็นสัญลักษณ์แทนความรัก  และท่อนที่บอกว่า “ฝนที่เทลงบนมือเราดั่งงานวิวาห์” กล่าวคือการโปรยปรายของสายฝน เปรียบดั่งสายน้ำจากการรดน้ำสังข์ในพิธีแต่งงาน สื่อถึงความรักของมนุษย์สองคนที่ไม่มีเรื่่องเพศมาเกี่ยวข้อง แม้ใครไม่ยอมรับ กฎหมายไม่รับรอง แค่คนทั้งสองสัมผัสถึงความรักของกันและกันได้ เพียงเท่านั้นก็เป็นความรักที่ครบสมบูรณ์แล้ว

ซึ่งในช่วงจบของมิวสิกวิดีโอยังมีหุ่นสีส้มและสีขาวควงคู่เต้นรำกันในตอนท้าย ที่ต้องเป็น 2 สี ก็เพราะ ‘สีส้ม’ แทนตัวของทองคำ ซึ่งเป็นสีตามคาแรกเตอร์ ขณะที่ ‘สีขาว’ แทนจิ่งนะ ที่มีคาแรกเตอร์ใสซื่อ อ่านง่าย ไม่ซับซ้อน เหมือนกระดาษเปล่าที่รอให้คนมาแต่งแต้มเติมสี

สุดท้าย ไม่มีตราชั่งใดบนโลกที่จะเที่ยงตรง
“ความเท่าเทียม” บางครั้งก็อาจ “ไม่เท่าเทียม”
ไม่ว่าจะกับเพศใด เพราะมนุษย์ยอมรับ ‘ความเหมือน’ ได้ง่ายกว่า ‘ความต่าง’

ผลงานโดยการกำกับของ “บอส กูโน” และ “ตั้ง ตะวันวาด วนวิทย์” หรือ ‘TANG BADVOICE‘ ผู้กำกับภาพ ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในเรื่อง แปลรักฉันด้วยใจเธอ ♦

วันนี้ ในโรงภาพยนตร์


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer