โรงเรียนนานาชาติ ทำไมการเติบโตจึงสวนทางกับโรงเรียนเอกชน (วิเคราะห์)

ลูกฉันต้องได้เรียนนานาชาติ ได้กลายเป็นหนึ่งในทัศนคติที่ทำให้โรงเรียนนานาชาติเติบโตขึ้นทุกปี ท่ามกลางการลดลงของจำนวนโรงเรียนเอกชน และเด็กวัยเรียนในประเทศไทย

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่า โรงเรียนนานาชาติมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่จำนวนโรงเรียน และนักเรียน

ข้อมูลจากสำนักงานกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน พบว่า

ในปี 2565

โรงเรียนนานาชาติในไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 234 แห่ง

จำนวนนักเรียน 66,352 คน

 

ปี 2566 

โรงเรียนนานาชาติ 236 แห่ง

จำนวนนักเรียน 70,200 คน

 

ปี 2567 

โรงเรียนนานาชาติ 249 แห่ง

จำนวนนักเรียน 77,734 คน

 

ซึ่งเป็นการเติบโตที่สวนทางกับโรงเรียนเอกชนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องทั้งจำนวนโรงเรียน และนักเรียน

ปี 2565

โรงเรียนเอกชน 3,758 แห่ง

จำนวนนักเรียน 2,028,669 คน

 

ปี 2566 

โรงเรียนเอกชน 3,732 แห่ง

จำนวนนักเรียน 2,004,126 คน

 

ปี 2567 

โรงเรียนเอกชน 3,697 แห่ง

จำนวนนักเรียน 1,956,528 คน

 

 

บนประชากรวัยเรียนอายุ 3-18 ปี ที่ลดลงทุกปี จาก 11,997,220 คน  ในปี 2564 เหลือเพียง 11,564,077 คน ในปัจจุบัน ข้อมูลนี้อ้างอิงจาก ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ

สิ่งที่ทำให้โรงเรียนนานาชาติเติบโตสวนทางกับโรงเรียนเอกชน และประชากรวัยเรียนมาจาก

1. คนไทยกลุ่มไฮเอนด์ที่มองว่าโรงเรียนนานาชาติมีหลักสูตรการเรียนที่เสริมสร้างด้านภาษา เพิ่มโอกาสด้านสังคมต่าง ๆ ปูทางไปสู่มหาวิทยาลัยต่างประเทศ และมหาวิทยาลัยหลักสูตรนานาชาติในไทย

และการส่งเรียนโรงเรียนนานาชาติยังเป็นการใกล้ชิดบุตรหลาน และมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการส่งไปเรียนต่างประเทศ

 

2. ชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ในตำแหน่งที่สูงทั้งระดับผู้บริหาร และผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ มีเพิ่มมากขึ้นทุกปี

จากข้อมูลของกรมแรงงานพบว่าปี 2564 มีชาวต่างชาติที่ได้รับใบอนุญาตทำงานประเภททั่วไป ที่มีตำแหน่งการทำงานที่ค่อนข้างสูง และประเภทส่งเสริมการลงทุน จำนวน 137,778 คน

ปี 2565 จำนวน 164,355 คน

ปี 2566 จำนวน 174,991 คน

ซึ่งชาวต่างชาติกลุ่มนี้มีกำลังในการส่งบุตรหลานที่ติดตามครอบครัวมาอยู่ในประเทศไทยเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติเพื่อลดข้อจำกัดด้านภาษา สังคม และอื่น ๆ

จากความนิยมของคนไทยและชาวต่างชาติในไทยส่งบุตรหลานเรียนนานาชาติ ได้กลายเป็นหนึ่งที่ทำให้โรงเรียนนานาชาติเติบโตทั้งด้านจำนวนโรงเรียน นักเรียน และมูลค่าตลาด

จากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า โรงเรียนนานาชาติ มีมูลค่าที่เติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี หลังจากที่ฟื้นตัวหลังโควิด-19

ปี 2562 ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติมีมูลค่า 61,000 ล้านบาท

ปี 2563 มูลค่า 57,000 ล้านบาท

ต่อมาปี 2564 มูลค่า 60,000 ล้านบาท

สำหรับปี 2565 มูลค่า 66,000 ล้านบาท

ส่วนปี 2566 มูลค่า 77,000 ล้านบาท

และ ปี 2567 คาดการณ์มูลค่า 87,000 ล้านบาท

 

จากธุรกิจโรงเรียนนานาชาติที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี เป็นการเติบโตบนการแข่งขันทั้งทางตรงและทางอ้อมที่สูงขึ้น 

1. การแข่งขันในหลักสูตรการเรียนการสอนตามระบบการสอนที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ปกครองในการส่งบุตรหลานเข้าเรียน

ยกตัวอย่าง เช่น  โรงเรียนนานาชาติ ISB, โรงเรียนนานาชาติเบซิส, โรงเรียนนานาชาติ ASB  ใช้หลักสูตรระบบอเมริกัน

โรงเรียนนานาชาติบางกอกพัฒนา, โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีกรุงเทพ, โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส, โรงเรียนนานาชาติรีเจนท์ ใช้หลักสูตรสหราชอาณาจักรและเวลส์ หรือ UK

โรงเรียนนานาชาติ SISB ใช้หลักสูตรสิงคโปร์

โรงเรียนนานาชาติ KIS ใช้หลักสูตร International Baccalaureate หรือ IB

โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี ใช้ทั้งหลักสูตรอเมริกันและ BI เป็นต้น

 

2. ขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงนักเรียนนานาชาติกลุ่มใหม่

เข้าถึงกลุ่มนักเรียนใหม่ ๆ โดยเฉพาะจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพ เนื่องจากการแข่งขันของโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพฯ สูง จากโรงเรียนนานาชาติจำนวนมาก บนกลุ่มนักเรียนเป้าหมายที่มีอยู่จำกัด ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาโรงเรียนนานาชาติมีการขยายตัวไปยังต่างจังหวัดนอกเหนือจากกรุงเทพฯ มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าถึงนักเรียนกลุ่มใหม่ ๆ

อ้างอิงจากสำนักงานกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน พบว่า โรงเรียนนานาชาติขยายตัวไปต่างจังหวัดนอกเหนือกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น

จากปี 2563 มีโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพฯ 117 ต่างจังหวัด 109 แห่ง

ปี 2565 มีโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพฯ 119  แห่ง ต่างจังหวัด 115 แห่ง

ปี 2566 มีโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพฯ 120 แห่ง ต่างจังหวัด 116 แห่ง

และปี 2567 อ้างอิงจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ พบว่า มีโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพฯ 121 แห่ง ต่างจังหวัด 128 แห่ง

และข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่าในช่วงที่ผ่านมาโรงเรียนนานาชาติมีการขยายตัวไปยังต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะภาคกลางและตะวันออกจากครัวเรือนที่มีรายได้เกิน 100,000 บาท จำนวนมาก

ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้อ้างอิงจากสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า

กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวนครัวเรือนที่มีรายได้เฉลี่ยมากกว่า 100,000 บาทต่อเดือน 201,649 ครัวเรือน

ภาคกลาง และตะวันออก 113,082 ครัวเรือน

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 65,590 ครัวเรือน

ภาคใต้ 64,863 ครัวเรือน

ภาคเหนือ 63,005 ครัวเรือน

 

3. การแข่งขันทางอ้อมกับโรงเรียนเอกชนที่มีหลักสูตรห้องเรียนหลายภาษา เช่น อังกฤษ, ไทย, จีน ที่พัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าถึงผู้ปกครองบางกลุ่มที่มองว่าการเรียนผ่านโรงเรียนเอกชนหลักสูตร 2 ภาษาเพียงพอต่อความต้องการ และมีค่าเล่าเรียนต่อปีที่ถูกกว่าโรงเรียนนานาชาติ

4. การแข่งขันทางอ้อมกับโรงเรียนประจำในต่างประเทศ ที่มีค่าเล่าเรียนที่ถูกลง ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยให้ข้อมูลว่าปัจจุบันโรงเรียนนานาชาติในไทยมีค่าเล่าเรียนเฉลี่ยปีละ 764,484 บาท ซึ่งเป็นค่าเล่าเรียนที่มีความแตกต่างจากโรงเรียนประจำในนิวซีแลนด์ที่มีค่าใช้จ่ายที่ประมาณ 1,150,208 บาทไม่มากนัก

5. การแข่งขันทางอ้อมกับโฮมสคูลจากผู้ปกครองยุคใหม่นิยมทำโฮมสคูลมากขึ้น จากความไม่ต้องการส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียนตามปกติ และสามารถเทียบวุฒิในหลักสูตรต่างประเทศได้ บนค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการเรียนในโรงเรียนนานาชาติ

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยให้ข้อมูลว่าการทำโฮมสคูลเพื่อสอบ GED (เทียบวุฒิมัธยมปลายของสหรัฐฯ) มีค่าสอบ ค่าใช้จ่ายในการสอบ และค่ากวดวิชาแบบเรียนตัวต่อตัว 100 ชั่วโมงรวมกันประมาณ 160,800 บาท

อย่างไรก็ดี แม้ในวันนี้ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติมีโอกาสเติบโตแต่ก็มีความท้าทายรอบด้าน ถ้า โรงเรียนนานาชาติ ไม่ควบคุมคุณภาพการศึกษาให้ดี

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer