เชื่อว่าหลายคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่อาจจะไม่รู้ว่าโลกเรามีสิ่งที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตมาเป็นระยะเวลากว่า 55 ปีแล้ว หลาย ๆ คนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายดายกว่าเมื่อก่อนที่ต้องซื้อบัตรเติมอินเทอร์เน็ตขูดบัตรกรอกรหัสที่ได้รับและกดเชื่อมที่โมเด็มที่มีความเร็วสูงสุดเพียง 56K
เทคโนโลยีผ่านไปจากเครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซึ่งเป็นเครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา กลายมาเป็นอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ADSL และพัฒนามาเป็นใยแก้วนำแสง ซึ่งนั่นก็คือเรื่องที่หลายคนอาจจะเคยชินกับการได้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ๆ เป็นเรื่องปกติทั่วไปประจำวัน แต่กับพื้นที่ห่างไกล หรือในบางประเทศที่ยังเป็นประเทศด้อยพัฒนา การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานอย่างอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เอาแค่ขอให้น้ำไหล ไฟสว่าง ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากเกินไปเสียด้วยซ้ำ
เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าพ่อนวัตกรรมอย่าง Elon Musk ก็เล็งเห็นทั้งโอกาสที่จะทำเงินและโอกาสที่จะได้สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงแหล่งความรู้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นก็คือ “อินเทอร์เน็ต” ดังประโยคหนึ่งที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า “การศึกษาที่แท้จริงไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต”
วันนี้เราอยากชวนคุณผู้อ่านมาทำความรู้จักกับอีกหนึ่งธุรกิจของเจ้าของ Tesla, X และ Space X ผู้โด่งดัง แต่วันนี้เราจะไม่ได้มาพูดถึงตัวบุคคล แต่เราอยากจะพาไปรู้จักเบื้องหลังแนวคิดในการก่อตั้งหน่วยธุรกิจย่อย (Business Unit) อย่าง Starlink ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการวิจัยและพัฒนาด้านอวกาศอย่าง Space X
จานดาวเทียม Satrlink เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตดาวเทียมที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในไม่ช้า: pocket-lint
ว่าด้วยเรื่องของ SpaceX
You want to wake up in the morning and think the future is going to be great – and that’s what being a spacefaring civilization is all about. It’s about believing in the future and thinking that the future will be better than the past. And I can’t think of anything more exciting than going out there and being among the stars.” / Elon Musk
ถ้าคุณอยากตื่นนอนในตอนเช้าและคิดว่าอนาคตจะต้องยอดเยี่ยมแน่ ๆ นั่นคือความหมายของการเป็นอารยธรรมอวกาศ มันเป็นเรื่องของการเชื่อมั่นในอนาคตและคิดว่าอนาคตจะดีกว่าอดีต และผมนึกไม่ออกเลยว่าจะมีอะไรน่าตื่นเต้นไปกว่าการออกไปอยู่ท่ามกลางดวงดาว” / Elon Musk
นี่คือคำกล่าวที่จุดประกายความคิดให้ชายหนุ่มวิศวกรเจ้าของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าชื่อก้องโลกอย่าง Elon Musk ลุกขึ้นมาสร้างบริษัทที่มีภารกิจด้านอวกาศ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการไปตั้งอาณานิคมอยู่บนดาวอังคาร
Elon Musk ซีอีโอของ Space X บริษัทแม่ของ Starlink: CNBC
SpaceX มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Space Exploration Technologies Corp. ก่อตั้งโดย Elon Musk ในปี 2002 โดยมีจุดประสงค์หลักในการปฏิวัติเทคโนโลยีอวกาศและทำให้การเดินทางในอวกาศมีราคาถูกลงและเข้าถึงได้มากขึ้น ภารกิจของบริษัทคือการทำให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงอื่นได้ โดยเฉพาะ ดาวอังคาร โดยพัฒนาเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ของมนุษย์บนดาวเคราะห์ดวงอื่น โดย Elon Musk เริ่มสนใจการสำรวจอวกาศหลังจากสังเกตเห็นว่า NASA ไม่มีแผนส่งมนุษย์ไปสำรวจดาวอังคาร
วิสัยทัศน์ของ EMusk ได้แก่ การสร้างสังคมหลายดาวเคราะห์เพื่อให้แน่ใจว่ามนุษยชาติจะอยู่รอด ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเผชิญกับภัยคุกคามที่อาจคุกคามการดำรงอยู่ของโลก เช่น สงครามนิวเคลียร์หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
Starlink คืออะไร?
Starlink คือ ดาวเทียมอินเทอร์เน็ตที่ดำเนินงานโดย Starlink Services, LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ SpaceX มีเป้าหมายหลักเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีค่าความหน่วงต่ำ (High-speed, Low-latency internet) แก่พื้นที่ห่างไกลและไม่ได้รับบริการเพียงพอทั่วโลก โดยติดตั้งเครือข่ายดาวเทียมขนาดใหญ่ในวงโคจรต่ำของโลก (low Earth orbit : LEO) ซึ่งแตกต่างจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมแบบเดิมที่อาศัยดาวเทียมขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ดวงในวงโคจร (ประมาณ 22,236 ไมล์เหนือพื้นโลก)
Starlink ใช้ดาวเทียมขนาดเล็กหลายพันดวงที่โคจรในระดับความสูงที่ต่ำกว่ามากประมาณ 342 ไมล์ (550 กิโลเมตรเหนือระดับพื้นโลก) วิธีนี้จะช่วยลดค่าความหน่วงเวลาได้อย่างมากและทำให้อินเทอร์เน็ตมีความเร็วสูง เหมาะสำหรับผู้ใช้งานในพื้นที่ชนบทและพื้นที่ห่างไกลที่ขาดโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตแบบเดิม
โดยเป้าหมายหลักในด้านธุรกิจและการตอบสนองปัจจัยพื้นฐานด้านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของ Starlink ก็เพื่อตอบสนองความต้องการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ราคาไม่แพงที่ไม่ได้รับการตอบสนองทั่วโลก รวมถึงให้บริการอินเทอร์เน็ตในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เครือข่ายแบบดั้งเดิมหยุดชะงัก
ในส่วนของค่าบริการ Starlink มีให้บริการโดยมีค่าธรรมเนียมรายเดือน ซึ่งผันผวนอยู่ระหว่าง 110 ถึง 120 ดอลลาร์ พร้อมด้วยค่าฮาร์ดแวร์ครั้งเดียวประมาณ 599 ดอลลาร์ โครงสร้างราคาแบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลซึ่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider: ISP) แบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถให้บริการได้
ประวัติความเป็นมาและการพัฒนาของ Starlink โดย SpaceX
ในช่วงเริ่มต้น SpaceX ได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสาร (FCC) ของสหรัฐอเมริกา เพื่อขออนุญาตส่งดาวเทียมทดลอง และวางแผนสำหรับกลุ่มดาวเทียมขนาดใหญ่ถึง 4,425 ดวง ซึ่งจะกลายเป็นกลุ่มดาวเทียมที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา
การพัฒนาของ Starlink เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในปี 2018 เมื่อ SpaceX ส่งดาวเทียมทดสอบชุดแรกขึ้นสู่วงโคจร และในปี 2019 บริษัทได้เริ่มส่งดาวเทียมปฏิบัติการจริงจำนวนมากขึ้นสู่อวกาศ
ตลอดปี 2020 Starlink ได้เริ่มทดสอบการให้บริการกับผู้ใช้จริง โดยเริ่มจากพนักงานและครอบครัว ก่อนจะขยายไปสู่การทดสอบสาธารณะในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และสหราชอาณาจักร ในช่วงนี้ SpaceX ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดผลกระทบต่อการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ โดยการออกแบบดาวเทียมที่สะท้อนแสงน้อยลง
ปี 2021 เป็นปีแห่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Starlink โดย SpaceX ได้ส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรอย่างต่อเนื่อง จนมีดาวเทียมในวงโคจรมากกว่า 1,000 ดวง และขยายการให้บริการไปยัง 14 ประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ดาวเทียมที่สามารถสื่อสารกันเองได้โดยตรง
ในปี 2022 Starlink ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการเปิดตัวบริการระดับพรีเมียมสำหรับลูกค้าองค์กร และประกาศความร่วมมือกับบริษัทโทรคมนาคมอย่าง T-Mobile เพื่อให้บริการเชื่อมต่อโดยตรงกับโทรศัพท์มือถือ
แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น การสูญเสียดาวเทียมจากพายุแม่เหล็กโลก แต่ Starlink ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายในการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วโลก โครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนาทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร
ปัจจุบัน Starlink ยังคงอยู่ในช่วงของการพัฒนาและขยายการให้บริการ โดยมีเป้าหมายที่จะครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกในอนาคตอันใกล้ ด้วยวิสัยทัศน์ของ Elon Musk และทีมงาน SpaceX Starlink จึงเป็นหนึ่งในโครงการที่น่าจับตามองในวงการเทคโนโลยีอวกาศและการสื่อสารโทรคมนาคม
การทำงานของระบบดาวเทียม Starlink
โดยปกติแล้วหลักการทำงานของ Starlink ในมุมของผู้ใช้งานจะไม่ซับซ้อนโดยจะแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ ส่วนของดาวเทียม ส่วนของผู้ใช้งาน และประสิทธิภาพของการใช้งาน
กลุ่มดาวเทียม
ระบบ Starlink ประกอบด้วยกลุ่มดาวเทียมจำนวนมากที่สื่อสารกับสถานีภาคพื้นดินและเครื่องปลายทางของผู้ใช้ ดาวเทียมแต่ละดวงจะมีการติดตั้งเทคโนโลยีขั้นสูง อย่าง ระบบการสื่อสารด้วยเลเซอร์ที่ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลระหว่างดาวเทียมได้ และช่วยลดการพึ่งพาสถานีภาคพื้นดิน การทำแบบนี้จะช่วยให้ระบบสามารถรักษาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่องในขณะที่ดาวเทียมเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วบนท้องฟ้าด้วยความเร็วประมาณ 17,500 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 28,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
การเชื่อมต่อของผู้ใช้
ผู้ใช้ที่ต้องการใช้บริการอินเทอร์เน็ตของ Starlink เชื่อมต่อกับ Starlink ผ่านเสาอากาศแบบแบ่งเฟส (phased array antenna) หรือที่เรารู้จักกันในลักษณะของ “จาน(ดาวเทียม)” จานนี้จะปรับตำแหน่งของตัวเองโดยอัตโนมัติเพื่อติดตามดาวเทียมที่เคลื่อนผ่านเหนือศีรษะ ซึ่งจะทำให้ได้การเชื่อมต่อที่เสถียร โดยชุดติดตั้งของ Starlink จะประกอบด้วยจานดาวเทียม เราเตอร์ Wi-Fi และสายเคเบิล
เมื่อผู้ใช้ซื้อชุดเริ่มต้นของ Starlink สำหรับติดตั้งที่บ้าน นี่คืออุปกรณ์ที่จะได้รับ: Starlink
ประสิทธิภาพและความครอบคลุม
จากข้อมูลบันทึกเชิงสถิติ Starlink มีความเร็วในการดาวน์โหลดเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 65 Mbps และทำความเร็วได้สูงสุดถึง 150 Mbps ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขอื่น ๆ และมีความหน่วงเวลาอยู่ระหว่าง 20 มิลลิวินาทีถึง 40 มิลลิวินาที ซึ่งถือว่าไม่ได้แย่เลยเมื่อเทียบกับบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมแบบเดิม แต่ก็อาจจะยังช้ากว่าบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตภาคพื้นดิน
โดย ณ ปัจจุบัน Starlink ให้บริการผู้ใช้มากกว่า 2.7 ล้านรายทั่วโลก โดยครอบคลุมพื้นที่หลายภูมิภาค รวมถึงบางส่วนของทวีปอเมริกาเหนือและใต้ ยุโรป และพื้นที่บางส่วนในแอฟริกา เป้าหมายคือการให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ผู้คนทั่วโลกประมาณ 2.9 พันล้านคนที่ขาดการเชื่อมต่อที่เชื่อถือได้ในปัจจุบัน
เป้าหมายและวิสัยทัศน์ของ Elon Musk สำหรับ Starlink
Elon Musk ก่อตั้ง Starlink ขึ้นมาเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแก่พื้นที่ห่างไกลและขาดแคลนทั่วโลก โดยโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าของ SpaceX ในการสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั่วโลกที่หลีกเลี่ยงความจำเป็นในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดินขนาดใหญ่ ซึ่งมักจะไม่สามารถทำได้จริงในพื้นที่ห่างไกล โดยการนำดาวเทียมจำนวนมากไปติดตั้งในวงโคจรต่ำของโลก Starlink มีเป้าหมายเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตไปยังสถานที่ที่ขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์แบบดั้งเดิม เช่น ชุมชนชนบทและประเทศกำลังพัฒนา
วิสัยทัศน์ของ Elon Musk สำหรับ Starlink นอกเหนือไปจากการสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งความรู้และการทำธุรกรรมที่เชื่อมต่อกันทั้งโลกผ่านอินเทอร์เน็ตแล้ว Elon ยังหวังให้ Starlink เป็นหนึ่งในแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุน SpaceX ในการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร
โดย Musk บอกว่ากระแสเงินสดจากการให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการระดมทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาวเหล่านี้ นอกจากนี้ Starlink เองยังมีบทบาทสำคัญในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในยูเครนระหว่างที่ความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินไปอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าเครือข่ายการสื่อสารแบบเดิมไม่สามารถใช้การได้
นอกจากนี้ Elon Musk ซีอีโอของ Tesla Inc. และ SpaceX เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของ Starlink ในงานสัมมนา Mill Conference ว่า ศักยภาพของ Starlink นั้นไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่ม GDP ให้กับประเทศด้วย
Elon Musk บอกว่า “การศึกษาที่แท้จริงไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต” และเน้นย้ำว่าภารกิจของ Starlink ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเชื่อมต่อเท่านั้น แต่ Starlink ยังช่วยลดช่องว่างทางดิจิทัลโดยการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแก่พื้นที่ห่างไกลและชนบท และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับการศึกษาและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ความเห็นของซีอีโอ Tesla เน้นย้ำให้เห็นถึงอิมแพ็กต่อสังคมโดยรวม และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้เป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญสำหรับการสร้างนวัตกรรม และ Starlink สามารถทำหน้าที่เป็นประตูสู่การศึกษา การดูแลสุขภาพ และการสื่อสารที่ดีขึ้นสำหรับผู้คนนับล้านทั่วโลก โดยการขยายความครอบคลุมอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก Starlink มุ่งหวังที่จะสนับสนุนโครงการด้านการศึกษาและเปิดใช้งานการเข้าถึงแหล่งข้อมูลดิจิทัลที่มักถือเป็นเรื่องปกติในศูนย์กลางเมือง
แน่นอนว่าพูดย่อมง่ายกว่าทำ ซึ่ง Elon Musk ก็ยอมรับว่าการติดตั้งเครือข่ายดาวเทียมทั่วโลกนั้นท้าทายมาก ทั้งอุปสรรคด้านกฎระเบียบและความซับซ้อนด้านการขนส่งทำให้ภารกิจของ Starlink มีความซับซ้อน แต่เขาก็ยังยืนยันว่าจะเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ไปให้ได้ เพื่อทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลกก็ตาม
ซึ่งถ้าโครงการ Starlink สำเร็จลุล่วง 100% อาจส่งผลอย่างมากต่อการตอบสนองต่อภัยพิบัติและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ด้วยเครือข่ายดาวเทียมที่เชื่อถือได้ การสื่อสารในพื้นที่ประสบภัยสามารถกลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ประสานงานการบรรเทาทุกข์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั่วโลก
ดูเหมือนว่าการถือกำเนิดขึ้นมาของ Starlink จะเข้ามาช่วยทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างเท่าเทียม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมาของ Starlink ได้เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ของแวดวงโทรคมนาคมและการสื่อสารไปไม่น้อย จากที่ผู้ให้บริการรายเดิมสามารถยืนระยะได้นาน กลับจำเป็นต้องเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการของตนเองให้ก้าวหน้าและทัดเทียมกับคู่แข่งหน้าใหม่อย่าง Starlink เรามาดูกันว่าการมาของ Starlink จะไปส่งผลกระทบต่อวงการสื่อสารในด้านใดบ้าง
การเข้าถึงที่ครอบคลุมและไร้ข้อจำกัด
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้: Space.com
กลุ่มดาวเทียมของ Starlink ได้รับการออกแบบมาให้ครอบคลุมทั่วถึง ช่วยให้ส่งข้อความ โทร และท่องเว็บได้ในพื้นที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบนบก กลางทะเล หรือแม้กระทั่งในป่า โดยขยายการเชื่อมต่อเซลลูลาร์ไปยังโทรศัพท์ LTE ที่มีอยู่โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนใด ๆ ซึ่งทำให้ Starlink สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่โครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดินแบบเดิมไปไม่ถึง
เกิดความร่วมมือเชิงกลยุทธ์
ความร่วมมือระหว่าง Starlink และ T-Mobile แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยที่ T-Mobile จัดสรรคลื่นความถี่ 5G บางส่วนให้ Starlink ใช้งาน ขณะที่ Starlink อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงเครือข่ายดาวเทียมสำหรับโทรศัพท์ T-Mobile ทำให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วสหรัฐอเมริกามากขึ้น ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ดังกล่าวสามารถช่วยขับเคลื่อนการนำไปใช้และนวัตกรรมในอุตสาหกรรมได้
การแข่งขันในมิติที่ไม่เคยมีมาก่อน
การริเริ่มบริการ Direct-to-Cell ของ Starlink นำมาซึ่งการแข่งขันในมิติใหม่ให้กับวงการโทรคมนาคม โดยบริการนี้ให้บริการส่งข้อความผ่านดาวเทียมในช่วงแรก ซึ่งถือเป็นการท้าทายบริการที่มีอยู่แล้ว เช่น บริการ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมของ Apple และดาวเทียม Snapdragon ของ Qualcomm ซึ่งบ่งชี้ถึงตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วสำหรับบริการเซลล์ดาวเทียม
Starlink Direct-to-Cell บริการโทรศัพท์มือถือใหม่ที่ใช้ดาวเทียม Starlink เพื่อให้บริการโทรศัพท์มือถือในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือทั่วไป: Starlink
การเชื่อมต่อและการรวมกลุ่มในพื้นที่ชนบท
Starlink Direct-to-Cell สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อพื้นที่ชนบทและห่างไกลโดยการลดช่องว่างการเชื่อมต่อ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมที่กว้างขึ้นซึ่งการเชื่อมต่อผ่านดาวเทียมถือเป็นโซลูชันที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่ที่โครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิมไม่คุ้มทุนหรือไม่สามารถใช้งานได้จริง โดยการปรับปรุงการเข้าถึงในภูมิภาคที่ไม่ได้รับบริการเพียงพอ Starlink สามารถส่งเสริมการรวมกลุ่มทางดิจิทัลได้
ราคาที่เอื้อมถึงและการแข่งขันด้านราคา
Starlink กระตุ้นการแข่งขันระหว่างบริษัทโทรคมนาคมแบบดั้งเดิมได้ โดยเสนอโครงสร้างราคาที่เอื้อมถึงและการแข่งขันได้มากขึ้น ส่งผลให้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ดีขึ้น มีราคาที่ต่ำลง และได้รับบริการที่ดีขึ้นสำหรับผู้บริโภค การแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นนี้สามารถผลักดันนวัตกรรมและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ปลายทางได้
ราคาค่าบริการรายเดือนและค่าอุปกรณ์ใน Plan ประเภทต่าง ๆ ของ Starlink: Starlink
ความยากในการทำอินเทอร์เน็ตดาวเทียมให้คนทั้งโลกสามารถเข้าถึงได้
ไม่ใช่ว่า Elon Musk คิดจะทำก็ทำได้เลย เพราะการที่ประชาชนสักประเทศจะไปใช้บริการแพลตฟอร์มของอีกประเทศหนึ่งโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็อาจจะเป็นการสุ่มเสี่ยงที่ประเทศเจ้าของแพลตฟอร์มจะเจาะข้อมูลของอีกประเทศไปใช้โดยที่ไม่หวังดี ดังนั้น ความหวังที่ Elon จะทำให้คนทั้งโลกเข้าถึงอินเทอร์เน็ตก็อาจจะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แล้วอะไรคืออุปสรรคเหล่านั้น
อุปสรรคด้านกฎระเบียบ
1. กฎระเบียบระหว่างประเทศ เพื่อให้บริการดาวเทียม Starlink เองก็จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union ITU) ซึ่งกำหนดให้ผู้ให้บริการดาวเทียมจะต้องได้รับการอนุญาตให้ผู้ให้บริการดาวเทียมต่างชาติเข้าสู่ตลาดเพื่อให้บริการสื่อสารจากหน่วยงานกำกับดูแลการสื่อสารแห่งชาติของแต่ละประเทศ (Landing Rights) ซึ่งข้อกำหนดนี้ไปจำกัดความสามารถของ Starlink ในการดำเนินงานในหลายภูมิภาค แม้ว่า Starlink จะมีความสามารถในการให้บริการดาวเทียมทั่วโลกก็ตาม
2. ใบอนุญาตของแต่ละประเทศ แต่ละประเทศเองมีกรอบการกำกับดูแลของตนเองสำหรับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต อย่างไทยก็มีจะมี กสทช. คอยกำกับดูเอง ด้าน Starlink จะต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานระดับชาติก่อนที่จะเสนอบริการ ตัวอย่างเช่น ในฟิลิปปินส์ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบทำให้ Starlink สามารถเข้าสู่ตลาดได้ แต่การอนุมัติในลักษณะดังกล่าวยังรอการพิจารณาในประเทศอื่น ๆ
3. ข้อจำกัดทางกฎหมาย ในบางประเทศ อย่าง ซิมบับเว Starlink ต้องเจอกับอุปสรรคทางกฎหมายที่บริการของบริษัทถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายจนกว่าจะได้รับใบอนุญาตที่เหมาะสม สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายต่อการใช้งานอุปกรณ์ของ Starlink โดยไม่ได้รับอนุญาต
4. ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศต่าง ๆ เช่น จีน รัสเซีย และอิหร่าน มีกฎระเบียบที่เข้มงวดหรือห้ามมิให้มีบริการดาวเทียมจากต่างประเทศโดยสิ้นเชิง ซึ่งก็มาจากความกังวลด้านความมั่นคงของชาติและการควบคุมโทรคมนาคม ในฐานะบริษัทของสหรัฐฯ SpaceX จำเป็นต้องก้มหน้ายอมปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้การดำเนินงานในภูมิภาคเหล่านี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย
5. การกำหนดลำดับความสำคัญของตลาด ต้องยอมรับว่าอุดมการณ์ 100% กินไม่ได้ ดังนั้น SpaceX อาจเลือกที่จะกำหนดลำดับความสำคัญของตลาดบางแห่งตามความสามารถในการทำกำไรทางเศรษฐกิจและการผ่อนปรนกฎระเบียบก่อน ซึ่งอาจทำให้การให้บริการในภูมิภาคอื่น ๆ ล่าช้าหรือจำกัดลง
การแข่งขันจากผู้ให้บริการในพื้นที่
Starlink เผชิญกับการแข่งขันจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ (ISP) ที่มีชื่อเสียงซึ่งอาจมีฐานลูกค้าที่แน่นแฟ้นและมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว ผู้ให้บริการเหล่านี้อาจตอบสนองด้วยบริการที่ดีขึ้นหรือราคาที่แข่งขันได้เพื่อรักษาลูกค้าไว้ ซึ่งอาจจำกัดการเข้าถึงตลาดของ Starlink
ข้อจำกัดและความน่าเชื่อถือของบริการ
แม้ว่า Starlink จะให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แต่ผู้ใช้รายงานว่าประสิทธิภาพไม่แน่นอน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ใช้งานสูงสุดหรือสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ ความหน่วงเวลาอาจเป็นปัญหาได้ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับบริการไฟเบอร์ออปติกแบบเดิม ความแปรปรวนของประสิทธิภาพการทำงานนี้สามารถส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้และความน่าเชื่อถือของ Satrlink
การรับรู้และความไว้วางใจของสาธารณชน
เนื่องจาก Starlink ถือเป็นผู้เล่นรายใหม่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม จึงจำเป็นต้องสร้างความไว้วางใจในหมู่ผู้ใช้งาน ทั้งในเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ความปลอดภัย และความยั่งยืนของบริการในระยะยาวอาจส่งผลต่อการรับรู้ของสาธารณชน
แผนขยายธุรกิจของ Starlink ในอนาคต
ในอนาคตอันใกล้ Starlink มีแผนที่จะขยายพื้นที่ให้บริการไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลและประเทศกำลังพัฒนาที่ยังขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ปัจจุบัน Starlink ให้บริการผู้ใช้มากกว่า 2.7 ล้านรายทั่วโลก ครอบคลุมพื้นที่หลายภูมิภาค รวมถึงบางส่วนของทวีปอเมริกาเหนือและใต้ ยุโรป และบางพื้นที่ในทวีปแอฟริกา
มีการคาดว่า Starlink จะทำการเพิ่มจำนวนดาวเทียมในวงโคจรอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน SpaceX (บริษัทแม่ของ Starlink) ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลให้สามารถส่งดาวเทียม Starlink ขึ้นสู่วงโคจรอวกาศได้มากถึง 12,000 ดวง และมีโอกาสขยายเพิ่มเป็น 42,000 ดวงได้ในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มความครอบคลุมและประสิทธิภาพของเครือข่ายให้ดียิ่งขึ้น
ควบคู่ไปกับการขยายเครือข่าย Starlink จะมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของดาวเทียมและอุปกรณ์รับสัญญาณภาคพื้นดิน เพื่อเพิ่มความเร็วและเสถียรภาพของการเชื่อมต่อ รวมถึงลดต้นทุนการผลิตและการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถนำเสนอบริการที่มีคุณภาพสูงในราคาที่แข่งขันได้
นอกจากการให้บริการแก่ลูกค้าทั่วไปแล้ว Starlink ยังมองหาโอกาสในการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มองค์กร รัฐบาล และหน่วยงานทางทหาร โดยพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่ม บริษัทยังวางแผนที่จะพัฒนาบริการใหม่ ๆ เช่น การให้บริการอินเทอร์เน็ตบนเครื่องบินและเรือ รวมถึงการร่วมมือกับบริษัทโทรคมนาคมเพื่อให้บริการเชื่อมต่อโดยตรงกับโทรศัพท์มือถือ
การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในแผนการขยายธุรกิจของ Starlink โดยบริษัทมองหาโอกาสในการร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ เพื่อพัฒนาโซลูชันใหม่ ๆ เช่น การร่วมมือกับบริษัทรถยนต์เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตในยานพาหนะ
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือบทบาทของ Starlink ในการสนับสนุนภารกิจอวกาศในอนาคต ในฐานะส่วนหนึ่งของ SpaceX Starlink อาจมีส่วนสำคัญในการให้บริการการสื่อสารสำหรับภารกิจสำรวจอวกาศ เช่น การเดินทางไปดาวอังคาร หรือการตั้งถิ่นฐานบนดวงจันทร์
แม้ว่าแผนการขยายธุรกิจเหล่านี้จะเต็มไปด้วยความท้าทายทั้งด้านเทคโนโลยี การเงิน และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง แต่ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและความมุ่งมั่นของทีมงาน Starlink ก็มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของการสื่อสารโทรคมนาคมโลก และนำมาซึ่งการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอย่างทั่วถึงในอนาคตอันใกล้นี้
เรื่อง: ณัฐศกรณ์ แสงลับ
อ้างอิง
https://spaceexplored.com/guides/starlink/
https://www.techtarget.com/whatis/definition/Starlink
https://humenglish.com/technology/starlink-could-help-lift-people-out-of-poverty/
https://praxis.ac.in/starlink-to-disrupt-the-telecom-industry/
–
