Trend/ช่วงไม่กี่ปีมานี้ประเทศที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม ASEAN คือเวียดนาม โดยสาเหตุหลัก ๆ มาจากการที่สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรเห็นว่าเวียดนามเป็นตัวเลือกในการลงทุนและฐานการผลิตที่ดีเมื่อจำเป็นต้องลดการพึ่งพาจีน
ขณะที่เวียดนามเองก็มีค่าจ้างแรงงานต่ำ เปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ และเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวจนทำให้บรรดาประเทศสมาชิก ASEAN ต้องอิจฉา

นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์เวียดนามอย่าง Vinfast ที่กำลังถูกจับตามองในอุตสาหกรรมรถอีวีอีกด้วย จากบริบทเหล่านี้ทำให้เวียดนามต้องการพลังงานมหาศาลเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและภาคการผลิต

อย่างไรก็ตาม ก็มีเหตุให้แผนพลังงานของเวียดนามมีอันต้องสะดุดแบบรัว ๆ ไม่ต่างจากไฟฟ้าลัดวงจรหลายครั้งติดกัน
Enel บริษัทพลังงานทดแทนสัญชาติอิตาลี ซึ่งยังเป็นหนึ่งในบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะถอนการลงทุนในเวียดนามตามรอย Equinor ของนอร์เวย์ และ Orsted ของเดนมาร์กหรือไม่
ทั้งที่ประกาศลงทุนครั้งใหญ่เมื่อปี 2022 เพื่อช่วยให้เวียดนามสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอีก 6 กิกะวัตต์
อันเป็นส่วนหนึ่งในแผนแม่บทด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าเมื่อถึงปี 2030 จะต้องมีแหล่งผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น และราว 1 ใน 3 ต้องมาจากพลังงานทดแทน อย่าง ลม แสงอาทิตย์ และน้ำ
นอกจากนี้ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่ได้กำหนดเงื่อนไขการลงทุนและกลไกราคาให้ชัดเจนอีกด้วย ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย เพราะลมคือทรัพยากรธรรมชาติที่เวียดนามมีเหลือเฟือ และน่าจะนำมาใช้ผลิตพลังงานกระแสไฟฟ้าได้มหาศาล

สาเหตุถัดมาที่ทำให้โปรเจกต์ยักษ์ด้านพลังงานของเวียดนามสะดุดหลายครั้ง คือโครงสร้างด้านพลังงานของประเทศที่ล้าสมัย และยังต้องปรับปรุงหรือยกเครื่องใหม่เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณกระแสไฟฟ้าจำนวนมหาศาลที่จะผลิตขึ้นจากแหล่งใหม่ ๆ
นอกจากนี้ ยังขาดแคลนเงินทุนอีกด้วย โดยตามรายงานจากสำนักข่าว DW ของเยอรมนีระบุว่า ต้องใช้เงินลงทุนมากถึง 134,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.3 ล้านล้านบาท) เพื่อยกเครื่องโครงสร้างและสาธารณูปโภคพลังงานของเวียดนาม
ทว่าได้รับเงินช่วยเหลือจากประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) สำหรับโครงการนี้เพียง 15,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 499,000 ล้านบาท) เท่านั้น

ส่วนสาเหตุสุดท้าย คือ รัฐบาลเวียดนามไม่ได้ให้เงินสนับสนุนหรือการลดภาษีที่มากพอ ส่งผลกระทบต่อการลงทุนสร้างโรงงานและขับเคลื่อนสายการผลิตอุตสาหกรรม
จนเป็นเหตุให้บริษัทชิปซึ่งมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี อย่าง LG ของเกาหลีใต้และ AT&S ของออสเตรีย เปลี่ยนใจไม่มาสร้างโรงงานในเวียดนาม

สาเหตุเดียวกันนี้ยังทำให้ Intel ยกเลิกแผนขยายโรงงานชิปในเวียดนาม มูลค่า 3,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 106,000 ล้านบาท) ไปอย่างน่าเสียดาย โดยประเทศที่รับประโยชน์ไปคือโปแลนด์
รายงานของ DW ทิ้งท้ายว่า แผนการเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนเพื่อขับเคลื่อนภาคการผลิตและกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ไม่ได้ดับวูบไปเสียทีเดียว
โดยจะสามารถกลับมาดีขึ้นได้หากรัฐบาลเวียดนามมีความชัดเจนและจริงจังมากกว่านี้ ทั้งในเรื่องเงื่อนไข มาตรการจูงใจ กลไกราคา และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ

แต่ถ้าหากยังช้าอยู่เช่นนี้ เวียดนามก็คงทำได้แค่มองประเทศร่วมกลุ่ม ASEAN อย่างมาเลเซียกับอินโดนีเซียที่เดินหน้าเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปแล้ว แซงหน้าไปไกลเรื่อย ๆ/dw
–
