Work/หลังพ้นช่วงล็อกดาวน์ที่วัยทำงานเกือบทั่วโลกต้องทำงานอยู่บ้าน (Work from Home) เทรนด์การทำงานก็หันไปเน้นความสะดวกเป็นหลัก

เช่น ทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) ผสมผสานระหว่างที่บ้านกับกลับเข้าบริษัท (Hybrid workspace) ทำงานไปพร้อมพักร้อนหรือท่องเที่ยวไปด้วย (Workcation) หรือทำงานอิงตามเวลาร่างกายและสมองมีประสิทธิภาพสูงสุด (Chronoworking)

พอถึงปัจจุบันที่โลกการทำงานกลับสู่ภาวะปกติแล้ว และบริษัทส่วนใหญ่เรียกตัวพนักงานกลับเข้าบริษัทแบบเต็มร้อย ขณะที่ยังมีบางประเทศอย่างกรีซไปไกลถึงขั้นกำหนดให้ทำงานเพิ่มเป็น 6 วัน

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบริษัทอีกจำนวนไม่น้อยที่เปิดกว้างให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ และเข้าบริษัทเป็นบางเวลาเท่านั้น 

แนวทางดังกล่าวทำให้เกิดอีกเทรนด์ในโลกการทำงานขึ้นมา นั่นคือ การเข้ามารวมตัวจิบกาแฟ เพื่อพบปะพูดคุยกันแบบนาน ๆ ครั้งตามที่กำหนดไว้ และแต่ละครั้งอาจกินเวลาไม่นาน หรือ Coffee badging

ประโยชน์เบื้องต้นที่ได้ของ Coffee badging คือการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ ให้ได้เห็นหน้าค่าตาและรักษาสายสัมพันธ์กันไว้ ในบรรยากาศที่ผ่อนคลายในวงกาแฟในร้านกาแฟ แต่เปลี่ยนจากร้านกาแฟมาเป็นบริเวณต่าง ๆ ในบริษัท

เช่น หน้าตู้กดน้ำ ห้องรับประทานอาหาร ห้องประชุม หรือสวนหย่อม และพื้นที่สูบบุหรี่ อันเป็นพื้นที่ปกติในการสนทนากันของคนในบริษัทนั่นเอง ส่วนถ้าเป็นทางการ เพิ่มความจริงจังขึ้นมา

และมีหัวหน้าทีมหรือผู้บริหารร่วมด้วย Coffee badging ครั้งนั้นก็ย้ายเข้าไปในห้องประชุม

ทว่า Coffee badging มีทั้งข้อดี-ข้อเสีย ด้านสว่างและมุมมืด ขึ้นอยู่กับมุมมอง พฤติกรรมของพนักงานแต่ละคน และแต่ละบริษัทนำไปใช้อย่างไร

ข้อดีคือ เป็นโอกาสให้พนักงานได้มาพบปะพูดคุย เพื่อไม่ให้ห่างเหินจนเกินไปและแชร์ไอเดียต่าง ๆ ซึ่งจะดีต่อบริษัทเองถ้าใช้เป็นโอกาสในการประชุม ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว

และยังสามารถใช้เป็นโอกาสในการพูดคุย หรือแก้ปัญหาต่าง ๆ เพราะการพูดคุยแบบเห็นหน้าค่าตาย่อมดีกว่าการคุยกันผ่านข้อความทางอีเมลในแพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมไปถึงผ่านวิดีโอคอล

ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในวิธีช่วยลดการลาออกของพนักงาน โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Z ที่ใจร้อน ไม่ทนกับปัญหาและพร้อมลาออกทุกเมื่อ

ส่วนข้อเสียคือ มีพนักงานจำนวนไม่น้อยที่อยากทำงานแบบ Hybrid หรือ Work from Home แบบยาว ๆ และเห็นว่า การเข้าบริษัทนั้นกวนสมาธิการทำงาน และเห็นว่าการทำงานที่เน้นความสะดวกกับความยืดหยุ่นควรเป็นสิทธิพื้นฐานที่บริษัทต้องให้กับพนักงาน

พนักงานกลุ่มนี้ยังมองว่า การเรียกตัวเข้าออฟฟิศ นัดประชุม หรือสนทนาผ่านวิดีโอคอลนั้นเป็นการบีบบังคับและแย่งเวลาทำงานไป

สื่อในสหรัฐฯ ประเมินว่า บรรดาพนักงานที่ไม่ตั้งใจทำงานเต็มที่ ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่าถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 61 ล้านล้านบาท)

นี่ทำให้พนักงานที่ไม่เห็นด้วยกับการเรียกตัวเข้าออฟฟิศ เข้าออฟฟิศแค่เพื่อจิบกาแฟ หรือให้หัวหน้าเห็นหน้าเท่านั้น และจากมุมมองทางจิตวิทยาแล้ว มนุษย์มักหาทางหลบเลี่ยงเพื่อความสะดวกและหนีจากความเครียดอยู่เสมอ

ดังนั้น เมื่อเห็นโอกาส หนทางหรือข้ออ้าง ก็จะใช้โดยไม่ลังเล ซึ่ง Coffee badging ก็เอื้อให้ทำได้

อย่างไรก็ตาม Coffee badging ถือเป็นเทรนด์ที่ทั้งฝ่ายพนักงาน ผู้บริหารและองค์กรต้องปรับตัว โดยหาตรงกลางที่แต่ละฝ่ายยอมรับได้ เช่น กำหนดวัน มีกรอบเวลาเข้าบริษัทที่ชัดเจน และไม่บ่อยเกินไป  

แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ควรเป็นกฎเหล็กที่บังคับจนเกินไป และพนักงานที่ติดงานหรือมีความจำเป็นก็อาจไม่ต้องเข้าบริษัท พร้อมกันนี้ช่องทางการสื่อสารและระบบต่าง ๆ ก็มีพร้อมใช้ เพื่อให้ติดต่อ สอบถาม และส่งงานได้แม้ไม่ได้เข้าบริษัท

หากทำได้เช่นนี้ Coffee badging ก็อาจเป็นหนึ่งในช่องทางกระชับความสัมพันธ์คนในบริษัท ช่วยให้ยังต่อกันติด เพราะไม่ว่าเทรนด์การทำงานจะเปลี่ยนไปแค่ไหนและอย่างไร

ที่สุดบริษัทก็ยังถือเป็นสังคมรูปแบบหนึ่ง ที่ต้องรวมกลุ่ม ร่วมมือและติดต่อประสานงานกัน เพื่อให้ลุล่วงพร้อมประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง/cnbc, tapglowgroup


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer