Work : ช่วงปี 1800 สหรัฐฯ เป็นประเทศแรกที่ทำงานตั้งแต่ 09.00-17.00 นาฬิกา หรือ 9 to 5 ทั้งในบริษัทและโรงงานตามที่สหภาพแรงงานกำหนด จากนั้นบริษัททั่วโลกก็ทยอยทำตาม โดยแม้เข้า-ออกงานต่างกันแต่ก็คงกรอบเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงไว้
ทว่าช่วงโลกเข้าสู่ภาวะล็อกดาวน์ที่ทุกคนจำเป็นต้องทำกิจกรรมทุกอย่างแต่ในบ้าน สังคมการทำงานก็เปลี่ยนไปอย่างมาก นำมาสู่เทรนด์ Work from Home ต่อด้วยทำงานจากที่ไหนก็ได้หรือ Work from Anywhere

และทำงานจากบ้านสลับกับเข้าบริษัทหรือ Hybrid Workspace พร้อมความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญอีกเรื่อง คือ Gen Z ที่อายุระหว่าง 17-27 ปี เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่สุดในสังคมการทำงาน

และยังถือเป็นกลุ่มใหญ่สุดที่รุ่นพี่ ๆ ในแต่ละบริษัท ไล่จาก Gen Y, Gen X ไปจนถึง Babyboom ซึ่งอายุระหว่าง 30 ปีไปจนถึงแตะ 60 ปี จำเป็นต้องทำความเข้าใจ เพื่อให้การทำงานราบรื่น และลดความแตกแยก
รวมไปถึงลดเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นแต่ก็เกิดขึ้นแล้วอย่างการที่บรรดาหัวหน้าแผนก ผู้บริหารไปจนถึงเจ้าของบริษัท ซึ่งเป็นคนกลุ่ม Gen Y, Gen X ไปจนถึง Babyboom ยอมรับเกิดขึ้นแล้วอย่างกลัวพนักงาน Gen Z

จากทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้เกิดอีกเทรนด์การทำงานซึ่งเน้นความสะดวกเป็นหลัก และแทบจะเลือกได้เองว่าเข้าบริษัทหรือไม่ หรือ Hybrid First ตามมา
Hybrid First กลายมาเป็นหัวข้อต้น ๆ ที่ Gen Z พิจารณาเมื่อสมัครงาน ตามลักษณะการไม่ชอบอยู่ในกรอบจากผลพวงของการต้องโตมาช่วงโลกติดล็อกดาวน์ เน้นความยืดหยุ่นและเปิดกว้าง

ท่ามกลางอุปกรณ์ใกล้ตัวและเทคโนโลยีสื่อสารที่เอื้อให้สามารถงานแบบ Hybrid ได้อย่างเต็มที่ เพื่อสมดุลระหว่างงานกับการใช้ชีวิต (Work-Life Balance) ซึ่ง Gen Z ให้ความสำคัญ
ที่ยังเกี่ยวเนื่องกับการทำงานตามเวลาที่ถนัดเมื่อหัวแล่นและกลไกร่างกาย หรือ Chronoworking อีกด้วย ถึงขนาดที่เริ่มมีการกล่าวกันว่า วัฒนธรรมองค์กรหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยยึดโยงคนในบริษัทอาจไม่ใช่แบบเดิมอีกแล้ว
ดังนั้น จึงนำมาสู่คำถามสำคัญที่ว่า แล้วบริษัทจะปรับตัวอย่างไรเพื่อดึงดูด จูงใจให้ Gen Z เก่ง ๆ มาทำงาน ไปจนถึงรั้งให้อยู่ด้วยนาน ๆ
เน้นยืดหยุ่นและเปิดกว้าง: ข้อแรกที่สามารถช่วยให้บริษัทมัดใจหรือเข้าตา Gen Z ได้คือ ความยืดหยุ่น โดยเฉพาะการเลือกได้ว่าจะเข้ามาบริษัทหรือไม่
เพราะคนรุ่นนี้ยังอยู่ช่วงวัยรุ่นและเกลียดความอึดอัดจากผลกระทบของช่วงล็อกดาวน์
อีกข้อที่เกี่ยวเนื่องกันและถือเป็นสิ่งที่ทัชใจ Gen Z คือการเปิดกว้าง ไล่ตั้งแต่การแต่งกาย การแสดงออกทางเพศสภาพ รวมไปถึงตัวเลือกที่หลากหลายในบริษัท
เช่น อาหารที่อาจมีเนื้อทำจากโปรตีนพืชในโรงอาหาร นอกเหนือจากเนื้อหรือผักทั่วไป และไม่ควรไปบีบบังคับให้ Gen Z ไปดื่มสังสรรค์ หลังเลิกงาน เพราะพวกเขาใส่ใจสุขภาพ และอยากมีเวลาส่วนตัวมากกว่า
อุปกรณ์พร้อม: เคล็ดลับข้อต่อมาที่ทำให้บริษัทเข้าตา Gen Z และสามารถรั้งตัวคนเก่งรุ่นนี้ให้ทำงานต่อไปนาน ๆ คือ อุปกรณ์ทำงานที่พร้อมสรรพ เอ่ยปากขออะไรไปก็ตอบรับ
เพราะนี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Gen Z ทำงานออกมาได้เต็มประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลน่าพอใจ
คิดใหม่เรื่องสวัสดิการ: ข้อสุดท้ายที่ฝ่ายบริษัทต้องปรับเพื่อรั้งตัวพนักงาน Gen Z ให้อยู่ต่อไปนาน ๆ และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพคือ สวัสดิการ
เพราะในเมื่อตัวออฟฟิศแทบจะไม่จำเป็นแล้ว สวัสดิการที่เคยกระตุ้นความสนใจได้ก่อนยุคล็อกดาวน์ อย่างโต๊ะปิงปอง หรือ เบียร์ฟรี จึงไม่สามารถดึงดูด Gen Z ที่ไม่เคยสัมผัสเรื่องเหล่านี้และเคยทำงานมาก่อน
ทำให้สวัสดิการที่น่าสนใจสำหรับพวกเขาคือความก้าวหน้าต่าง ๆ โอกาสพัฒนาตนเอง คอร์สอบรม การช่วยเหลือทางการเงินเมื่อถึงคราวจำเป็น หรือสวัสดิการด้านสุขภาพ เพื่อฮีลใจฮีลร่าง
รวมไปถึงสิ่งใดก็ตามที่ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีความสุขสอดคล้องกับยุคสมัยและค่านิยมปัจจุบัน ♦/bbc
–
