Trend/คงไม่มีข่าวไหนที่สะเทือนธุรกิจร้านสะดวกซื้อในปี 2024 ไปมากกว่า การที่ ACT ของแคนาดาเดินหน้าซื้อกิจการ Seven&i บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น และต้นสังกัดของ 7-Eleven ทั่วโลก
เพราะเงินที่ฝ่ายแรกเสนอมาเพิ่มเป็น 47,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.5 ล้านล้านบาท) แต่ฝ่ายหลังก็แก้เกมด้วยการเตรียมแยกปีกธุรกิจนอกเหนือจากร้านสะดวกซื้อออกไป เพื่อทำให้ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ขึ้นหากฝ่ายแรกยังต้องการซื้อกิจการ
พร้อมลดกระแสกดดันจากผู้ถือหุ้นและนักลงทุน ท่ามกลางการจับตามองว่าดีลนี้จะลากยาวไปถึงไหนและจะปิดดีลได้หรือไม่
เพราะในกรณีที่ปิดดีลได้ นี่จะถือเป็นการเข้าซื้อกิจการจากบริษัทต่างชาติครั้งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และอาจนำความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างตามมา ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของประเทศ หลังจากที่ ชิเกรุ อิชิบะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ได้เกิดความเคลื่อนไหวอีกอย่างหนึ่งขึ้นในประเทศต้นกำเนิดของ 7-Eleven

Seven&i เผยว่า มีแผนปิดสาขาในตลาดแถบอเมริกาเหนือ ไล่จากสหรัฐฯ ต่อเนื่องไปยังแคนาดาและเม็กซิโก รวมทั้งสิ้น 444 แห่ง หลังจากยอดลูกค้าเข้าร้านเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ลดลงไป 7.3% ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6

อันเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อและสถานการณ์ในตลาดแรงงานที่ยังไม่สู้ดีนัก บีบให้ผู้บริโภคในสหรัฐฯ และประเทศเพื่อนบ้านต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด จนทำให้ยอดขายลดลง
สื่อสหรัฐฯ รายงานอ้างอิงจาก Global Retail บริษัทวิเคราะห์และเก็บรวบรวมข้อมูลในแวดวงค้าปลีกว่า ยังมีอีก 2 สาเหตุที่ทำให้ Seven&i สั่งปิดสาขาในแถบอเมริกาเหนือ
สาเหตุแรกคือยอดขายบุหรี่ หนึ่งในสินค้าขายดีตามร้านสะดวกซื้อที่ลดลง โดยลดลง 26% จากปี 2019 หลังจากผู้บริโภคหันไปซื้อบุหรี่ที่ราคาถูกกว่า หรือผลิตภัณฑ์ที่มีนิโคตินแบบอื่น ๆ เช่น บุหรี่ไฟฟ้า ถุงนิโคตินที่สอดไว้ระหว่างเหงือกกับช่องปาก หรือนิโคตินแบบสูดดม กันมากขึ้น

ส่วนอีกสาเหตุที่ทำให้สาขาของ 7-Eleven ในแถบอเมริกาเหนือ 444 แห่งต้องปิดกิจการไป คือ ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าจากบริษัทคู่แข่งอย่าง Wawa และ Sheetz โดยเฉพาะอาหาร ซึ่งราคาถูกกว่า และมีคะแนนความพึงพอใจสูงกว่า
สาขา 444 แห่งของ 7-Eleven ที่จะปิดไปนี้ แม้จะคิดเป็นเพียง 3% ของสาขาทั้งหมดราว 13,000 แห่งทั่วอเมริกาเหนือ แต่ก็ถือว่ามีความสำคัญ เพราะมีสาขาในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิด ก่อนจะถูก Seven&i ของญี่ปุ่นซื้อไปเมื่อปี 1990 รวมอยู่ด้วย
นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า Seven&i กำลังพยายามลดค่าใช้จ่ายในช่วงปรับโครงสร้าง ท่ามกลางความท้าทายในตลาดแถบอเมริกาเหนือ

ส่วน ACT ก็คงตระหนักดีถึงสถานการณ์ในอเมริกาเหนือและเห็นว่า ญี่ปุ่นกับเอเชียที่ Seven&i วางรากฐานไว้ดีนั้นมีอนาคต เพราะกำไรต่อร้านในญี่ปุ่นดีกว่า แบรนด์ 7-Eleven แข็งแกร่งมากในเอเชีย และหากปิดดีลซื้อกิจการ Seven&i ได้ จำนวนสาขาทั่วโลกของ ACT จะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 1 แสนแห่ง ซึ่งจะมากที่สุดในโลกอีกด้วย/cnn, reuters
–
