เด็กสมบูรณ์ ถึงเวลาที่ “รุ่นลูก” ต้องทำให้ดีกว่า “รุ่นพ่อ” นี่แหละความท้าทายจากรุ่นสู่รุ่น (สัมภาษณ์)

เมื่อ Marketeer ถามว่าความท้าทายในการทำธุรกิจของคนรุ่นลูกคืออะไร

คุณพ่อเจน 2 และลูกชายเจน 3 หันมามองหน้ากันแล้วตอบยิ้ม ๆ พร้อมกันว่า

ต้องเก่งกว่ารุ่นพ่อ”

ทั้งคู่ตั้งใจจะรักษาคุณภาพของสินค้าเดิมไว้ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคมีความคาดหวังสูงขึ้นและมีทางเลือกมากมายในตลาด

“ที่ไหนมีครัว ที่นั่นต้องมีเรา” 

และยังมีเป้าหมายว่าแบรนด์จะต้องไปต่ออย่างยั่งยืนในมิติที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ตราเด็กสมบูรณ์เป็นที่รู้จักและอยู่ในใจของทุกเจเนอเรชัน

วันนี้ไม่รู้หรอกว่าสิ่งใหม่ ๆ ที่กำลังทำ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” และจะไปต่อได้ไกลแค่ไหน

แต่พวกเขากำลังสนุกที่จะทำ

ตามไปพูดคุยกับสมหวัง และท็อป-วสุพล ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ 2 พ่อลูกแห่งอาณาจักร หยั่น หว่อ หยุ่น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป เจ้าของแบรนด์ตราเด็กสมบูรณ์

จุดเริ่มต้นที่บ้านไม้หลังเล็กในซอยวัดไผ่เงิน

จุดกำเนิดของซีอิ๊วขาวตราเด็กสมบูรณ์เกิดขึ้นในปี 2490 ที่บ้านไม้หลังเล็กในซอยวัดไผ่เงินโดย วิเชียร ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ คุณพ่อของ สมหวัง และเป็นคุณปู่ ของ ท็อป-วสุพล

ในสมัยนั้นชั้นล่างของบ้านคือโรงผลิต ชั้นบนคือที่อยู่อาศัย การผลิตเริ่มตั้งแต่การนำถั่วเหลืองไปนึ่ง จนถึงการบ่มและหมักในถังหรือโอ่งมังกร ได้เวลาที่รสชาติดีแล้วก็เอาไปบรรจุขวดขาย  เป็นสินค้าโฮมเมด ที่ทุกอย่างทำจากฝีมือของคนในครอบครัวตั้งสมบัติวิสิทธิ์

สมหวังลูกชายคนสุดท้อง ซึ่งปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น เล่าย้อนอดีตให้ฟัง

“คุณพ่อเคยเล่าให้ผมฟังว่าเริ่มขายวันแรกได้ออเดอร์มา 6 ขวด กลับมาก็มาช่วยกันผลิตกับคุณแม่ วันรุ่งขึ้นก็เอาใส่จักรยานขี่ไปส่งลูกค้า”

ซีอิ๊วขาวเป็นเครื่องปรุงรสที่ยังใหม่ต่อสังคมไทยในเวลานั้น แต่ด้วยความเป็นเซลส์ที่ขยันของวิเชียร ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น

คุณพ่อของสมหวังแม้เรียนไม่สูงแต่เป็นคนมองการณ์ไกล จนในปี 2493 จึงได้มีการจดทะเบียนสินค้าตราเด็กสมบูรณ์ครั้งแรก และมีการเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่นมาใช้ในโรงงาน ให้ความสำคัญในเรื่องระบบ ISO และเริ่มขยายสินค้าออกไปเป็นเครื่องปรุงรสอื่น ๆ รวมทั้งส่งลูกไปเรียนต่างประเทศเพื่อที่จะได้กลับมาช่วยสร้างธุรกิจให้เติบโต

ทั้งหมดคือฐานรากสำคัญขององค์กรในเวลาต่อมา

จากบ้านหลังเล็กในซอยได้ซื้อที่ดินด้านหน้าขยายออกมาจนถึงถนน และวันนี้มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 6 ไร่ เป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงานใหญ่หยั่น หว่อ หยุ่น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป

ปัจจุบันมีโรงงานผลิตที่ทันสมัย 2 แห่ง ที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดระยอง มีกำลังการผลิตรวมกันไม่ต่ำกว่า 18,000 ขวดต่อชั่วโมง และสามารถจัดส่งสินค้าได้ไม่ต่ำกว่า 400,000 ขวดต่อวัน จากประมาณ 30-40 กลุ่มผลิตภัณฑ์

ส่งขายไปไม่ต่ำกว่า 80 ประเทศทั่วโลก กลุ่มประเทศหลัก ๆ คือ EUROPE, AMERICA และ MIDDLE EAST

ปี 2566 มีรายได้ 4,358 ล้านบาท กำไร  958 ล้านบาท ประมาณ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์มาจากตลาดต่างประเทศ

รุ่น 2 ต่อยอด

สมหวัง จบการศึกษาระดับ HIGHER NATIONAL DIPLOMA สาขาธุรกิจและการเงิน จาก LEWES TERTIARY COLLEGE ประเทศอังกฤษ จบปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์การตลาด จาก AZUSA PACIFIC UNIVERSITY ประเทศสหรัฐอเมริกา

และในปี พ.ศ. 2538 จบระดับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ จาก AZUSA PACIFIC UNIVERSITY ประเทศสหรัฐอเมริกา

“ตอนยังเป็นเด็กพี่น้องทุกคนต้องช่วยที่บ้านทำงาน หน้าที่แรกของผมคือช่วยตอกจุกปิดขวดซีอิ๊ว โตหน่อยก็ช่วยแบกของขึ้นรถ  ติดไปกับรถส่งของ พออายุ 18 ปีเรียนอยู่ที่อัสสัมชัญพ่อก็เริ่มให้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปขายของเอง”   

เรียนจบอายุประมาณ 26-27 ปีเขาก็กลับมาช่วยงานที่บ้านดูเรื่องการขายเป็นหลัก หลังจากนั้นเริ่มขยายทีมขายในต่างประเทศจากที่ไม่เคยมี  พัฒนาในเรื่องเทคโนโลยี และประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อเตรียมรองรับดีมานด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อม ๆ กับเริ่มมีสินค้าใหม่ ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจของเด็กสมบูรณ์ให้เข้มแข็งมากขึ้น

 

ความท้าทาย จากรุ่นสู่รุ่น “ต้องทำให้ดีกว่ายุคของพ่อ”

หลังวิเชียรเสียชีวิต ประโยคหนึ่งที่สมหวังจำได้แม่นยำ เมื่อวันหนึ่งเพื่อนของพ่อได้ถามเขาว่า

“กิจการเป็นอย่างไรบ้างระหว่างตอนที่พ่อลื้ออยู่กับตอนนี้ตอนไหนดีกว่ากัน ซึ่งผมสามารถตอบได้ทันทีว่าตอนนี้ดีกว่า คือถ้าตอนนั้นขายไม่ดีเหมือนยุคพ่อผมนี่ไม่รู้เอาหน้าไปไว้ไหนนะครับเพราะพ่อผมจบ ป.4  ผมน่ะ จบ ป.โท จากต่างประเทศ ถ้าผมสู้พ่อไม่ได้เลยนี่อายเพื่อนพ่อมาก”

คุณท็อปกล่าวเสริมตรงนี้ว่า

“เป็นเรื่องที่คุณพ่อเอามาเล่าแล้วผมจำฝังใจ ผมก็กลัวเหมือนกันนะครับ เป็นอะไรที่กดดันเหมือนกันถ้าต่อไปเจอเพื่อนคุณพ่อมาถามแบบนี้ และเป็นคำถามที่กลายเป็นแรงจูงใจสำคัญในการผลักดันให้ผมมีเป้าหมายในชีวิตว่าต้องทำธุรกิจให้ดีกว่ารุ่นพ่อ

“คุณพ่อเลี้ยงดูผมเหมือนคุณปู่ที่เลี้ยงเขามา ตอนผมยังเด็กพ่อก็ให้ไปช่วยเช็กสินค้า เช็กของเอาขึ้นรถไปขาย ไม่ได้ถูกเลี้ยงแบบลูกเถ้าแก่ ทั้ง ๆ ที่ยุคคุณพ่อต้องบอกว่าฐานะก็มั่นคงแล้วระดับหนึ่งตอนเด็ก ๆ ผมก็ไม่เข้าใจ ทำไมต้องทำงานในวันหยุด ในขณะที่เพื่อน ๆ ได้ไปเที่ยวเดินห้างกัน”

ที่สำคัญคือ สมหวังวางแผนการในการทำธุรกิจให้กับลูก ๆ ค่อย ๆ ซึมซับเรียกได้ว่าทุกช่วงเวลาของชีวิต

ห้องเรียนบนโต๊ะอาหาร

ทุกบ่ายวันอาทิตย์ จะมีช่วงเวลาของ Afternoon Tea ของครอบครัวที่ลูก ๆ ทุกคนจะมานั่งพร้อมหน้ากัน เพื่อให้คุณพ่อถามเรื่องการเรียน เรื่องเพื่อน ๆ และพ่อเองก็จะเล่าให้ฟังถึงธุรกิจที่ทำอยู่ในเรื่องโน้นเรื่องนี้ เพื่อให้ลูก ๆ ได้รู้ความเป็นไปของบริษัท

“ก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างล่ะครับ เพราะเราก็ยังเด็ก ๆ หรือแม้แต่ในช่วงเย็นที่รับประทานข้าวพร้อม ๆ กัน พ่อก็จะเล่าปัญหาที่เกิดขึ้นว่าวันนี้ไปเจออะไรมาบ้าง”

สมหวังเสริมว่า

ผมอาจจะต่างกับปู่ของท็อปตรงที่ว่า พ่อผมจะไม่มีเวลามานั่งคุยกับลูก ๆ เท่าไร แต่ผมจะมีเวลาตรงนี้ แล้วชอบชาเลนท์พวกเขา อย่างเวลารับประทานข้าวผมก็โยนปัญหาให้เขาช่วยคิด วันนี้ป๊าไปเจอลูกค้ามา ลูกค้าบอกว่าไม่เอาสินค้าคุณเพราะมันแพงยี่ห้ออื่นก็มี เป็นลูกจะตอบอย่างไร คือฝึกให้เขาได้คิด และจะบอกว่าที่เขาตอบมาก็ถูกแต่มันควรทำอีกแบบหนึ่งเพราะอะไร

“หรือเทคนิคบางเรื่องในการทำงานกับคน ก็จะเอามาเล่าให้ลูกฟัง เป็นห้องเรียนบนโต๊ะทานข้าว ซึ่งผมทำอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่ลูกเล็กจนย่างเข้าวัยรุ่น จนปัจจุบันเราก็ยังทำ”

ท็อป เรียนจบปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี  ปริญญาโท Entrepreneur and Innovation University of San Francisco

เขาเลือกเรียนสาขาวิศวกรรมอุตสาหการจากการชี้แนะของสมหวังว่าคณะนี้ถูกเปรียบเทียบว่าเป็นวิศวะเป็ด เพราะเนื้อหาไม่ได้ลงลึกซึ้งเหมือนสาขาอื่น ๆ แต่จะครอบคลุมปัจจัยทุก ๆ ด้านที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ให้รู้ทุกอย่าง มีความสามารถหลาย ๆ ด้านเหมือนเป็ดที่บินได้แต่ไม่เก่งเหมือนนก  ว่ายน้ำได้แต่ไม่เก่งเหมือนปลา เดินบนบกก็ได้แต่ไม่เร็วเหมือนม้า แต่ถึงแม้ไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ แต่สามารถบริหารจัดการและประยุกต์ใช้ความรู้ในหลาย ๆ ด้านอย่างมีประสิทธิภาพได้

“ตอนจบใหม่ ๆ ผมก็ยังไม่ทำงานกับคุณพ่อทันที เพราะตกลงเรื่องเงินเดือนไม่ลงตัว (หัวเราะ) คุณพ่อบอกว่าเอางี้ ยูลองไปเทสต์ดูว่าในตลาดแรงงานนี่จะจ้างยูด้วยเงินเดือนเท่าไร  ถ้าได้เงินดีกว่าที่พ่อเสนอให้ก็ค่อยกลับมาเรียกกับพ่อ”

เขาเลยได้ยื่นใบสมัครไปที่บริษัท Salesforce (เซลส์ฟอร์ซ) ที่อเมริกาเป็น บริษัท ซอฟต์แวร์การจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ระดับโลก ซึ่งตกลงจ้างในอัตราเงินเดือนที่สูง เลยเอากลับมายื่นให้คุณพ่อดูคุณพ่อยอมก็เลยกลับมาทำงาน

รุ่น 3 เริ่มลุยงาน เมื่อพ่อเปิดใจงานก็สนุก

ตอนท็อปกลับมาโซเชียลกำลังมาแรง การสร้างแบรนด์ การทำตลาด ต้องอาศัยเรื่องออนไลน์มากขึ้น ซึ่งสมหวังยอมรับว่าเขาอาจจะมีความรู้สู้เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้

“ผมโชคดีที่คุณพ่อเข้าใจคนรุ่นใหม่ และเป็นคนที่เปิดใจมาก เมื่อให้เราดูเรื่องมาร์เก็ตติ้งท่านก็ค่อนข้างยอมรับในไอเดียใหม่ ๆ ต่าง ๆ ของเราการขายผ่านออนไลน์ ติ๊กต็อก เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ก็เลยเกิดขึ้น”

เขายกตัวอย่างการเอาพี่ธีร์-น้องพีร์ คู่แฝดรุ่นจิ๋ว พร้อมครอบครัวมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ตราเด็กสมบูรณ์

หรือโปรดักส์ใหม่ ๆ ที่มาจาก Pain Point ของผู้บริโภค เช่น ซีอิ๊วเม็ด ที่ทำให้คนไม่ต้องยุ่งยากเรื่องการพกพาขวด หรือไอศกรีมรสซีอิ๊ว ที่เป็นอาหารฟิวชั่น คุณพ่อก็ไม่เคยค้านมีแต่จะคอยเสริมแนะนำอุดจุดรั่วที่เราคิดไม่ถึงมากกว่า

การเปิดใจเป็นเรื่องเบสิกสำหรับคุณพ่อ แต่ที่มากกว่านั้นคือคอยสนับสนุนในทุกย่างก้าว

“ผมกับคุณพ่อเคยตกลงกันว่าด้วยวัยที่ต่างกัน ความเห็นและมุมมองของเราย่อมต่างกัน ดังนั้น เพื่อให้งานที่จะทำสมูทที่สุดเรา 2 คนต้องทำตัวแบบน้ำไม่เต็มแก้ว ต้องพร้อมที่จะเรียนรู้วิธีคิดในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งกันเสมอ ไม่ยึดติดอยู่กับความเชื่อของคนใดคนหนึ่ง”

และจะต้องมองเป้าหมายที่จะสร้างประโยชน์สูงสุดขององค์กรเป็นหลัก ไม่ใช่องค์กู ไม่ใช่แค่ถูกใจฉันแต่ไม่ถูกต้อง นี่เป็นเรื่องที่พ่อปลูกฝังผมมาตลอ

วันนี้ท็อปอายุ 26 ปี ส่วนคุณพ่อยังหนุ่มในวัย 54 ปี

เมื่อถามว่าประทับใจคุณพ่อในเรื่องอะไรบ้าง

“เยอะครับ” ท็อปตอบยิ้ม ๆ

การเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี เป็นพ่อที่ดี บางครั้งเขาจะทรีตเราเหมือนเพื่อน ไปเที่ยวดูคอนเสิร์ตด้วยกัน เขาเปิดใจแม้กระทั่งเรื่องแฟชั่นไหนลูกใส่แบบไหน แบรนด์อะไร เป็น CEO ที่วางตัวแบบง่าย ๆ ปฏิบัติกับพนักงานเหมือนเพื่อนร่วมงานไม่ใช่ลูกน้อง

“ผมให้คุณพ่อมาเต้นใน TikTok ผม ท่านยังยอมเลย ตอนแรกท่านเฮ้ยไม่ได้ มันเสียภาพพจน์ดูไม่น่าเชื่อถือ แต่ในที่สุดท่านก็ยอมรับว่า CEO ยุคใหม่ต้องใกล้ชิดผู้บริโภค ต้องเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่าย ต้องเฟรนด์ลี่กับทุกคน”

“ไปผับยังไปด้วยกันเลย เพื่อนลูกก็เหมือนเพื่อนผม” สมหวังแทรกขึ้นมาพร้อมเสียงหัวเราะ ก่อนที่จะบอกว่าการเป็นผู้นำองค์กรที่ดีได้คุณต้องอัปเดตตัวเองตลอดเวลา อย่าตกเทรนด์ ไม่ว่าเรื่องความรู้ในธุรกิจของตัวเอง การใช้ชีวิต และไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ของผู้คน แม้แต่ศัพท์ใหม่ ๆ ที่วัยรุ่นใช้กัน

วันนี้ท็อปยังเป็น TikToker ที่กำลังเป็นที่รู้จักในโลกโซเชียลด้วย

เมื่อสนุกสนานกันและเข้าใจกันขนาดนี้ The Next Chapter ของเด็กสมบูรณ์จะเป็นอย่างไร

Key Success ของเด็กสมบูรณ์ตลอด 76 ปีที่ผ่านมา คือแบรนดิ้งที่แข็งแรง คุณภาพที่ดี การปรับตัวของสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และราคาเหมาะสม

ในยุคต่อไปทั้ง 2 คนพ่อลูกมีเป้าหมายให้เด็กสมบูรณ์ไปต่อในมิติที่หลากหลายมากขึ้น โดยวันนี้ยังไม่ทราบว่าสินค้าใหม่ ๆ ที่ออกมาแล้วจะเป็นกุญแจออกไปสู่ประตูของธุรกิจอื่น ๆ อีกหรือเปล่า หรือจะไปได้ไกลขนาดไหน

จาก “ไอศกรีมซีอิ๊วดำ” ไปสู่การคอลแลบส์กับแมคโดนัลด์ แบรนด์ดังระดับโลก เป็นเมนูฟิวชันใหม่ที่ผสมผสานสองความต่างสุดขั้วระหว่างไอศกรีมเนื้อเนียน หวานหอม จากแมคโดนัลด์ และน้ำพริกเผารสชาติเข้มข้น จัดจ้านของ เด็กสมบูรณ์

20 พฤศจิกายน 2567 นี้ ซีอิ๊วเม็ดจะวางขายที่ Gourmet Market ทุกสาขา ส่วนลูกอมรสซีอิ๊ววางขายผ่านออนไลน์แล้ว  รวมทั้งการไปคอลแลบส์กับแบรนด์แฟชั่นของญี่ปุ่น ที่เป็นเสื้อผ้า และเครื่องใช้ไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ของญี่ปุ่น ที่จะเปิดตัวภายในปีนี้เช่นกัน

ปีหน้าก็มีโปรเจกต์ในเรื่องการทำอาร์ตทอยร่วมกับศิลปินชื่อดัง รวมทั้งโปรเจกต์อื่น ๆ ที่เตรียมไว้อีกมาก

ท็อปย้ำว่าตัวตนเดิมเรายังอยู่ สินค้าหลักของเราก็ยังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่เราจะออกไปเพิ่มเติมในส่วนอื่น ๆ มากขึ้น

“เป็นการประสาน culture ของ 3 เจเนอเรชันเข้าด้วยกัน การที่เราเอาซอสซึ่งเป็นของคาวมารับประทานกับไอติมที่เป็นของหวาน แล้วคนยอมรับได้ แบรนด์ซอสอื่น ๆ ก็ทำตามมันก็อเมซซิ่งมาก ๆ มันทำให้เรามั่นใจที่จะคิด ดังนั้น ผมเลยบอกไม่ได้จริง ๆ ว่าต่อไปหน้าตาเราจะออกไปแบบไหนแต่น่าสนุกครับ”  

คุณสมหวังช่วยย้ำและสร้างความมั่นใจให้กับคุณลูกอีกเสียงว่า สนุกแน่ครับ ว้าวแน่  ก่อนบอกว่ามันเป็นการสร้างสีสันใหม่ ๆ ให้กับแบรนด์ ทำให้แบรนด์เราไม่แก่ และไม่ได้อยู่แค่ในครัวเหมือนเดิม

“เวลาเขาเสนออะไรใหม่ ๆ มา ผมจะฟังเหตุผลของเขาก่อนเสมอ ทำไมเราต้องทำ ทำไมคุณพ่อต้องเปลี่ยนความคิด เหมือนเมื่อก่อนที่เราบอกเขาว่าทำไมต้องไปช่วยทำงานในโรงงาน ทำไมต้องไปกับรถส่งของ ตอนนั้นผมก็มีเหตุผลให้เขาเหมือนกัน แล้วเขาก็ฟังผม”

ท็อปบอกว่า key Success ส่วนตัวของเขาขึ้นอยู่กับ 2 สิ่งคือ

1.  ครอบครัวเด็กสมบูรณ์ ที่เบื้องหลังคือทีมงานอีกมากมายที่ช่วยเราทำงาน แล้วผมจะทำอย่างไรที่ให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขา รวมไปถึงครอบครัวลูกเมียที่เขาเลี้ยงดู มั่นคงแข็งแรงเติบโตขึ้นได้

2. ผมต้องพยายามทำงานให้มากขึ้นเพื่อให้คุณพ่อได้สบายใจว่าสิ่งที่คุณปู่สร้าง คุณพ่อสานต่อมาทั้งชีวิต มาถึงรุ่นผมมันจะไม่หายไปไหนแต่มันยังทำต่อเนื่องไปอย่างมั่นคง

ทั้ง 2 อย่างคือเป้าหมายที่สำคัญ และเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีพลังในการขับเคลื่อนการทำงานในทุก ๆ วัน

ภาพลักษณ์ของ เด็กสมบูรณ์ คือ เครื่องปรุงรสที่อยู่ในครัว จะเปลี่ยนเป็นอย่างไรไม่รู้ การปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เก่าแก่เป็นเรื่องยาก แต่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ

และที่แน่ ๆ ปีหน้าเราจะเห็นโลโก้ที่น่ารัก ๆ ของแบรนด์นี้ ก้าวออกมาจากในครัว ไปสู่สายตาของผู้คนมากขึ้น ♦

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer