Trend / ภาพจำหลัก ๆ ของมหาเศรษฐีกลุ่มบริษัทยักษ์เทคส่วนใหญ่ในสายคนทั่วโลก คือคนอัจฉริยะเปี่ยมความมุ่งมั่นจนสามารถคิดค้นอุปกรณ์หรือแพลตฟอร์มดัง ๆ จุดประกายให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทว่าก็ไม่สนใจเรื่องการแต่งตัวหรือแฟชั่นเลย

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอ Meta บริษัทแม่ Facebook และประธานบอร์ดบริหารใน Meta คือ หนึ่งในตัวอย่างชัดเจนของคนกลุ่มนี้ และเขาก็ดูจะมั่นใจในการใส่เสื้อแขนยาวแบบมีหมวกเย็บติดหรือ Hood สีโทนเข้มจนเป็นชุดเก่ง
ยืนยันได้จากคำกล่าวที่ว่า การไม่สนใจเรื่องแฟชั่นหรือการแต่งตัว ทำให้มีเวลาทำสิ่งอื่น ๆ ที่สำคัญกว่า โดยเฉพาะการคิดค้นเทคโนโลยี แพลตฟอร์ม และขยับขยาย Meta ซึ่งบรรดาผู้ที่อยากประสบความสำเร็จแบบเขาก็ยึดถือเป็นต้นแบบ
แต่จากนี้ใครที่วิจารณ์ว่า บอสใหญ่ Meta แต่งตัวไม่เป็นและไม่แคร์แฟชั่นเลยคงต้องถอนคำพูดหรือเงียบ ๆ เข้าไว้ เพราะในระหว่างงานแถลงเปิดตัวแผนธุรกิจเมื่อกันยายนที่ผ่านมา
รวมไปถึงการปรากฏตัวบางครั้งในปีนี้ เขาปรากฏตัวในเสื้อยืดทรงหลวม ดัดผมที่ปล่อยให้เริ่มยาวเป็นลอน ทรงเดียวที่วัยรุ่นกลุ่ม Gen Z ทำกัน

และเมื่อมาใส่คู่กับแว่นดำซึ่งมีเทคโนโลยีของ Meta ก็ยิ่งเรียกเสียงฮือฮาได้อีก โดยเขาเริ่มส่งสัญญาณว่าอยากรีแบรนด์ตัวเองมาตั้งแต่มีนาคมปีเดียวกัน ที่ปรากฏตัวลุค “หนุ่มสายแฟ” ด้วยเชิ้ตทรงหลวมสกรีนลายเสือ

ตรงกันข้าม บิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้ง Microsoft และมหาเศรษฐียักษ์เทคคนดัง ที่มาแบบเรียบร้อยในชุดสูทผูกเนกไท จนอาจกล่าวได้ว่า นี่คือการปรับภาพลักษณ์หรือรีแบรนด์ตัวเองครั้งใหญ่ของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก
ท่ามกลางรายงานว่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จัดการเรื่องปรับลุคด้วยตัวเอง โดยไม่มีกูรูแฟชั่นหรือว่าจ้างสไตลิสต์คนใดมาช่วยแต่อย่างใด

ในเมื่อ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก คือบุคคลระดับโลก การเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งนี้ของเขาจึงมีความน่าสนใจว่ามีที่มาจากสาเหตุใด
The Guardian สื่อดังของอังกฤษวิเคราะห์อิงทัศนะจากกูรูแฟชั่น บริษัทที่ปรึกษาและคนในวงการเทคโนโลยีว่า มีหลายสาเหตุที่ทำให้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก รีแบรนด์ตัวเอง โดยสาเหตุแรกคือ เขาอยากปรับภาพลักษณ์ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น
และคงอยากลบภาพจำเดิม ๆ ของตัวเอง ไล่ตั้งแต่คนที่แต่งตัวไม่เป็น ลดกระแสวิจารณ์ว่าดูไร้อารมณ์ความรู้สึก จนถึงขั้นเป็นหุ่นยนต์หรือมนุษย์ต่างดาว

ประกอบกับคงไม่พอใจอย่างมากที่ ภาพหน้านิ่งใส่สูทผูกเนกไทตอนขึ้นให้ปากคำกับทางการสหรัฐฯ เมื่อปี 2018 กลายเป็นมีมล้อเลียนกันไปทั่ว
สาเหตุต่อมาที่ทำให้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก รีแบรนด์ตัวเอง คือ เขาอยากดูดีกว่าเดิมแบบที่มหาเศรษฐียักษ์เทคบางคนก็ได้รีแบรนด์ตัวเองล่วงหน้าไปแล้ว เช่น เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ Amazon เปลี่ยนมาสวมแว่นดำทรงนักบินอยู่บ่อย ๆ

และ อีลอน มัสก์ ที่ไปปลูกผมหลังเริ่มเป็นเศรษฐี เพื่อลบภาพคนผมบาง ซึ่งก็ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และเพิ่มความมั่นใจเมื่อภายหลังเขากลายเป็นมหาเศรษฐียักษ์เทค

จากการผลักดัน Tesla สู่แบรนด์รถปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เปลี่ยนผ่านจากใช้น้ำมันไปเป็นรถพลังงานไฟฟ้าหรือรถอีวี และต่อเนื่องไปสู่การซื้อกิจการของแพลตฟอร์ม Twitter และเปลี่ยนชื่อเป็น X
สาเหตุสุดท้ายที่ทำให้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก รีแบรนด์ตัวเองคือ ความจำเป็น เพราะบรรดาแบรนด์แฟชั่นดัง ๆ อย่าง Prada และ Balenciaga รวมถึง Ray-Ban แบรนด์แว่นดัง ต่างก็ร่วมทำธุรกิจกับ Meta ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองถูกวิจารณ์ว่า ละเลยเรื่องการแต่งตัว ไม่ใส่ใจหรือต่อต้านแฟชั่นได้อีกต่อไป
การรีแบรนด์ตัวเองของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยังมีอีกประเด็นที่น่าสนใจ นั่นคือนัยที่แฝงอยู่ ในคำภาษากรีกและลาติน บนเสื้อยืดของไมค์ อามิรี่ ดีไซเนอร์ชาวอเมริกันที่เขาเลือกมา
คำภาษากรีกเหล่านี้ไม่ใช่แค่สื่อถึงความหลงใหลในอารยธรรมกรีกและอารยธรรมโบราณต่าง ๆ จนถึงขนาดที่ภรรยายังแซวว่าไปเที่ยวกรีซด้วยกัน มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ถ่ายภาพโบราณสถานกรีกมากกว่ารูปเธอเท่านั้น เพราะคำเหล่านี้ล้วนมีความหมาย

เช่น Aut Zuck aut Nihil ที่แปลเป็นไทยได้ว่า เลือกเอาระหว่างซัก (เคอร์เบิร์ก) หรือไม่เหลืออะไรเลย ซึ่งอิงมาจากวลีภาษากรีกที่ว่า Aut Caesar aut Nihil ที่แปลเป็นไทยได้ว่า เลือกระหว่างซีซาร์หรือไม่เหลืออะไร
ซึ่งว่ากันว่าจักรพรรดิ จูเลียส ซีซาร์ เคยกล่าวไว้ เพื่อให้ศัตรูเลือกว่าจะยอมสวามิภักดิ์พระองค์หรือถูกกองทัพของพระองค์บดขยี้จนไม่เหลืออะไร
ซึ่งอาจเป็นการประกาศว่าเขาจะบดขยี้บริษัทคู่แข่งเหมือนที่เคยทำมาแล้วกับการซื้อกิจการ WhatsApp และ Instagram โดยที่เขามองตัวเองว่าเป็นเบอร์ต้น ๆ และผู้กุมชะตาของวงการไม่ต่างจากจักรพรรดิซีซาร์

และ Carthago delenda est ที่ถอดความเป็นไทยได้ประมาณว่า (เมือง) คาร์เทจต้องถูกทำลาย อิงมาจากวลีเก่าแก่ภาษาลาติน ที่ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ใช้เป็นคำปลุกใจระหว่างประชุมให้พนักงานจัดการอุปสรรคให้ราบคาบ อันเป็นการกระตุ้นให้พนักงานในเครือ Meta มุ่งมั่นกับงาน
ขณะที่วลี pathei mathos เป็นภาษากรีกถอดความเป็นไทยได้ประมาณว่า เรียนรู้ผ่านเรื่องที่เจ็บปวด ก็เป็นการสื่อว่า เขาได้ตระหนักถึงปัญหาต่าง ๆ ที่บริษัทเผชิญ และเจ็บปวดที่ต้องเผชิญปัญหาแต่ความเจ็บปวดจากปัญหาเหล่านั้นก็ทำให้ทั้งตัวเขาและบริษัทเติบโตขึ้น
ขณะเดียวกันก็เป็นการบอกเป็นนัยอีกด้วยว่า ตัวเขาเจ็บปวดต่อการถูกวิจารณ์เรื่องที่ไม่สนเรื่องการแต่งตัว แฟชั่น ไปจนถึงมีมล้อเลียนว่าไร้อารมณ์แบบมนุษย์ต่างดาว/ thegaurdian, wikipedia, businessinsider
–
