ดังที่เราจะได้เห็นภาพสตรีทฟู้ดอินเดียผ่านโซเชียลมีเดีย บ่อยครั้งที่ได้เห็นกรรมวิธีที่อาจไม่ถูกสุขลักษณะ ล้างมือลงในอาหารบ้าง ใช้มือเปล่าสัมผัสอาหารโดยตรงบ้าง เครื่องเขียงสีคล้ำดูเปื้อน ๆ แต่ก็มีคนอินเดียยืนมุงรอซื้อจำนวนไม่น้อย
สำหรับคนนอกประเทศอินเดียอาจมองว่าสตรีทฟู้ดอินเดียไม่น่าไว้วางใจ เพราะไม่สดสะอาด แต่คนท้องถิ่นจำนวนมากโดยเฉพาะคนรากหญ้าที่เป็นฐานรากของประเทศ เคยชินและไม่ได้รู้สึกว่าไม่น่ากิน
ซึ่งนั่นทำให้มีกรณีเสียชีวิตจากอาหารที่ไม่ถูกหลักอนามัยจำนวนมาก อย่างเช่น เมื่อกลางปีนี้มีชายวัย 19 ปี เสียชีวิตหลังรับประทาน Shawarma ที่ซื้อมาจากแผงขายในเมืองมุมไบ หลังจากนั้นเพียง 1 วัน ก็เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง บวกกับมีการอาเจียนร่วมด้วย สุดท้ายก็เสียชีวิต ซึ่งมีกรณีที่เสียชีวิตเพราะซื้ออาหารจากร้านเดียวกันรวมสองคน ทำให้คนขายถูกจับ 2 ราย โทษฐานทำการประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต
เมื่อไม่นานมานี้วารสาร Lancet ระบุว่า อินเดียอยู่ในอันดับ 2 ของโลกที่มีอัตราการเสียชีวิตจากการรับประทานอาหารที่ไม่สดสะอาดปลอดภัย โดยมีจำนวน 1.6 ล้านคน รองจากจีน ซึ่งอยู่ที่ 3 ล้านคน
แต่ความพยายามที่จะควบคุมแผงขายอาหารในประเทศเป็นไปได้ยาก เพราะอินเดียเป็นประเทศที่ใหญ่ ประชากรล้นเมือง อาหารไม่เพียงพอต่อการบริโภค ทำให้คนที่ไม่มีกำลังทรัพย์ไม่สามารถเลือกรับประทานอะไรได้มากนัก จึงไม่มีใครคำนึงถึงสุขอนามัย ขอเพียงมีอาหารตกถึงท้องก็นับว่าดีแล้ว
อย่างไรก็ดี ล่าสุด เกิดเป็นประเด็นร้อนระอุในโซเชียลเมื่อคนเผยแพร่คลิปวิดีโอที่ไม่ผ่านการตรวจสอบบนโซเชียลมีเดีย แสดงให้เห็นพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังถ่มน้ำลายลงบนอาหารตามแผงขายและร้านอาหารในท้องถิ่น
วิดีโอดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดความโกรธแค้นในหมู่ผู้ใช้โซเชียล หลายคนแสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหาร รัฐสองแห่งภายใต้การปกครองของพรรคภารติยะชนตา (BJP) ของอินเดีย จึงต้องประกาศแผนกำหนดค่าปรับและจำคุกเป็นโทษสูงสำหรับการทำให้อาหารปนเปื้อนด้วยน้ำลาย ปัสสาวะ และสิ่งสกปรก
รัฐ Uttarakhand ทางตอนเหนือจะปรับผู้กระทำผิดเป็นเงินสูงถึง 100,000 รูปี (1,190 ดอลลาร์) โทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ขณะที่รัฐ Uttar Pradesh ซึ่งเป็นรัฐเพื่อนบ้านก็เตรียมที่จะออกกฎหมายที่เข้มงวด ติดตั้งกล้องวงจรปิดในโรงแรมและร้านอาหารเพื่อแก้ไขปัญหานี้
แต่กฎหมายนี้ก็ยังเป็นที่โต้เถียงกันอยู่เนื่องจากเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งมองว่ากฎหมายที่เข้มงวดเป็นสิ่งจำเป็น และมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนกล้าทำอาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัย แต่ผู้นำฝ่ายค้านและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายกลับตั้งคำถามถึงประสิทธิผลของกฎหมายนี้ และมองว่ากฎหมายเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อใส่ร้ายชุมชนใดชุมชนหนึ่งได้
ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น เมื่อรัฐออกข้อบังคับระบุให้เจ้าของแผงขายอาหารตามเส้นทาง Kanwar yatra ซึ่งเป็นเส้นทางแสวงบุญของชาวฮินดู ติดป้ายชื่อและรายละเอียดประจำตัวของเจ้าของร้านไว้อย่างชัดเจน คำสั่งดังกล่าวทำให้ชาวมุสลิมไม่พอใจอย่างมาก เพราะเหมือนถูกจับผิด ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมส่งผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจของพวกเขา
เกิดการโต้เถียงระหว่างศาสนา ชาวฮินดูในโซเชียลจำนวนมากตั้งชื่อเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “thook-jihad” คำดังกล่าวเป็นคำที่บิดเบือนมาจากคำว่า “love-jihad” ซึ่งกลุ่มฮินดูหัวรุนแรงเป็นผู้คิดขึ้น พวกเขาใช้คำนี้เพื่อกล่าวหาว่าผู้ชายมุสลิมเปลี่ยนศาสนาให้ผู้หญิงฮินดูด้วยการสมรส
โดยคำว่า “thook-jihad” ขยายความไปถึงการกล่าวหาว่ามุสลิมพยายามทำให้ชาวฮินดูเสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งการถ่มน้ำลายลงในอาหารไม่ใช่ครั้งแรกที่มุสลิมตกเป็นเป้าหมายของการกล่าวหา ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 มีวิดีโอปลอมจำนวนหนึ่งที่แสดงให้เห็นชาวมุสลิมถ่มน้ำลาย จาม เพื่อแพร่เชื้อไวรัสให้ผู้อื่น กลายเป็นกระแสไวรัลในโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความแตกแยกเกลียดชัง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอาหารและนิสัยการกินถือเป็นประเด็นละเอียดอ่อนในอินเดียที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งไปถึงศาสนา และระบบวรรณะของประเทศ ทำให้บรรทัดฐานและข้อห้ามเกี่ยวกับอาหารบางครั้งนำไปสู่การปะทะกันระหว่างชุมชน
ความปลอดภัยของอาหารยังเป็นประเด็นใหญ่ในอินเดีย เพราะเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยในชีวิตของประชากร ซึ่งสำนักงานมาตรฐานและความปลอดภัยด้านอาหาร (FSSAI) ประมาณการว่าอาหารที่ไม่ปลอดภัยทำให้เกิดการติดเชื้อประมาณ 600 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 400,000 รายต่อปี
สาเหตุมาจากการบังคับใช้กฎหมายด้านความปลอดภัยอาหารที่ไม่เพียงพอ คนขาดการตระหนักรู้ ห้องครัวที่ไม่สะอาด คับแคบ อุปกรณ์ทำอาหารสกปรก น้ำที่ปนเปื้อน และการขนส่งและจัดเก็บที่ไม่เหมาะสม ล้วนส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของอาหาร
ที่มา: BBC, HindustanTimes, The EconomicTimes
–

