Trend / หากจะมีประเทศไหนที่โลกจับตามองด้วยความกังวลมากเป็นอันดับต้น ๆ ในปี 2024 คงเป็นเยอรมนี เพราะมีข่าวร้ายเรื่องการปลดพนักงานออกมาอย่างเนื่อง และยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมที่อาการหนักที่สุด
เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกเมื่อช่วงกันยายนหลัง Volkswagen ประกาศว่าอาจต้องปลดพนักงานมากถึง 120,000 คน และต้องปิดโรงงานในประเทศ 3 แห่ง ทำให้บริษัทผิดสัญญาที่ให้ไว้กับพนักงานเมื่อยุค 90 พนักงานสามารถทำงานแบบอุ่นใจได้เลยว่าจะไม่มีใครต้องถูกปลดไปจนถึงปี 2029
จากการที่ยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมใหญ่ และเชื่อมโยงกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอีกมากมาย ผลกระทบจึงมหาศาล โดยพอใกล้สิ้นปีก็มีบริษัทในธุรกิจเกี่ยวเนื่องร่วมชาติที่จำใจต้องใช้มาตรการเดียวกับ Volkswagen ออกมาอีก
เช่น Thyssenkrupp Steel บริษัทเหล็กซึ่งป้อนเหล็กให้สายพานการผลิตของ Volkswagen และทำธุรกิจด้วยกันมานาน ที่ประกาศปลดพนักงาน 11,000 คน คิดเป็น 40% ของทั้งองค์กร
โชคร้ายที่ข่าวร้ายในอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมัน ดูเหมือนว่าทยอยมีออกมาเรื่อย ๆ จนไม่ต่างกับการย้ำแผลประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดของยุโรป
หลักฐานยืนยันถึงเรื่องนี้คือการประกาศปลดคนงานของบริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์หลายแห่งเป็นจำนวนหลักพันไปจนถึงหลักหมื่น
Schaeffler บริษัทผู้ผลิตตลับลูกปืน ประกาศปลดพนักงาน 4,700 คน เริ่มตั้งแต่ปี 2025 ถึง 2027 โดยโรงงานที่ได้รับผลกระทบประกอบไปด้วย โรงงาน 10 แห่งในเยอรมนี และอีก 5 แห่งในยุโรป
Bosch บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนของระบบต่างๆ เช่น พวงมาลัยและส่งกำลัง ซึ่งยังเป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่อันดับต้น ๆ ของเยอรมนีด้วย ประกาศปลดพนักงาน 5,500 คน พร้อมลดเวลาทำงานของพนักงานราว 10,000 คน เริ่มตั้งแต่ปลายปี 2024 ไปจนถึงปี 2030

Continental บริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ใหญ่อันดับ 3 ของโลก ประกาศปลดพนักงานรวม 7,500 คน มาตั้งแต่ต้นปี 2024 และจะต่อเนื่องไปจนสิ้นปี 2025 โดยซีอีโอให้คำมั่นว่า จะเยียวยาผู้ที่ต้องตกงานอย่างดีที่สุด และจะทำทุกทางเพื่อคลายวิกฤต
บริษัทชิ้นส่วนรถยนต์เยอรมันอีกแห่งที่ประกาศปลดพนักงาน และจำนวนมากกว่า 3 บริษัทด้านบนเสียด้วยคือ ZF บริษัทผู้ผลิตแชสซี ที่สั่งปลดคนงาน 14,000 คน โดยส่วนใหญ่ในเยอรมนีเริ่มจากปี 2024 ต่อเรื่องไปจนปี 2028
ท่ามกลางการคาดว่า เบื้องต้นจะช่วยให้องค์กรลดค่าใช้จ่ายไปได้ 6,000 ล้านยูโร (ราว 217,000 ล้านบาท) และเชื่อว่าสถานการณ์จะกลับมาดีขึ้น
สำหรับวิกฤตอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบของเยอรมนีครั้งนี้ เกิดจากหลายสาเหตุประกอบกัน เริ่มจากตลาดรถอีวีหดตัว ต่อด้วยแบรนด์รถเยอรมันตามหลังคู่แข่งต่างชาติในตลาดโลก และยอดขายในจีน ตลาดนอกเยอรมนีที่ใหญ่สุด ก็แพ้ให้แบรนด์จีนอย่างราบคาบ
นอกจากนี้ แบรนด์รถเยอรมันยังเปลี่ยนผ่านจากรถใช้น้ำมันสู่รถอีวีช้า และเทคโนโลโลยีด้านรถอีวียังถือว่าตามหลังคู่แข่ง
ท่ามกลางการวิเคราะห์ของสื่อเศรษฐกิจและยานยนต์ไปทางเดียวกันว่า อุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมันต้องปฏิรูปตัวเองครั้งใหญ่และเดินหน้ากู้สถานการณ์อย่างเต็มกำลัง เพราะวิกฤตครั้งนี้ สร้างความเสื่อมให้ความภาคภูมิใจของคนในประเทศ
นี่จึงอาจกล่าวได้ว่า การผลิตในเยอรมนี (Made in Germany) และแบรนด์สัญชาติเยอรมัน กำลังสิ้นมนต์ขลังในสายตาชาวโลกเสียแล้ว/ reuters, dw, euronews, wikipedia, yahoonews
–
