Trend/หนึ่งในอุตสาหกรรมที่สำคัญต่อเศรษฐกิจเยอรมนีคืออุตสาหกรรมยานยนต์ โดยแบรนด์เยอรมนีในอุตสาหกรมนี้ที่รู้จักไปทั่วโลกและถือเป็นความภาคภูมิใจของคนเยอรมันเองมานานคือ Volkswagen
ทว่าปีนี้สถานการณ์ของแบรนด์ที่ชื่อแปลจากภาษาเยอรมันเป็นไทยได้ว่ารถของประชาชน ไม่สู้ดีนัก และล่าสุดประกาศข่าวร้ายที่ส่งผลต่อหน้าที่การงานของพนักงานเรือนแสนในบ้านเกิด

Volkswagen ประกาศว่าอาจต้องปิดโรงงานในเยอรมนี เพื่อลดค่าใช้จ่าย โดยเบื้องต้นคาดว่าอาจต้องปิดโรงงาน 2 แห่ง คือ โรงงานผลิตรถขนาดใหญ่และโรงงานผลิตชิ้นส่วน
Oliver Blume ซีอีโอ Volkswagen กล่าวว่า การแข่งขันในตลาดยานยนต์ ณ ปัจจุบันยังคงดุเดือด แต่แบรนด์เยอรมันยังคงตามหลัง และเดินหน้าแก้ไขสถานการณ์แล้วแต่ยังไม่พอ จึงต้องหาทางลดค่าใช้จ่ายอีกให้ได้มากที่สุด

แถลงการณ์ดังกล่าวถือเป็นข่าวใหญ่ในเยอรมนี เพราะ Volkswagen ถือเป็นบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศ แต่เป็นข่าวร้ายสำหรับพนักงาน Volkswagen ในเยอรมนีราว 120,000 คนที่อาจต้องตกงาน
หาก Volkswagen เดินหน้าแผนปิดโรงงานในเยอรมนีจะถือเป็นการปิดโรงงานครั้งแรก นับจากความจำเป็นที่ต้องใช้มาตรการนี้กับโรงงานในสหรัฐฯ เมื่อปี 1988
และยังเป็นการผิดสัญญากับพนักงานที่เคยประกาศไว้เมื่อปี 1994 ว่าจะไม่มีการปลดพนักงานจนถึงปี 2029 อีกด้วย
ซึ่งมีแนวโน้มมาตั้งแต่ประกาศในปี 2023 ว่าต้องลดค่าใช้จ่ายให้ได้ 11,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 376,000 ล้านบาท) ภายในปี 2026

ซ้ำร้ายยังมีการประเมินว่า Volkswagen ต้องลดค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกก้อนใหญ่เพื่อให้สามารถสู้กับค่ายรถอื่น ๆ ในปัจจุบันได้
ข่าวร้ายสะเทือนวงการยานยนต์ยุโรปดังกล่าว มีขึ้นหลังตัวเลขขาลงของ Volkswagen โดยเมื่อปี 2023 ที่ทำกำไรได้ลดลง 11% ซึ่งสาเหตุใหญ่มาจากเสียส่วนแบ่งตลาดในจีน ตลาดใหญ่สุดของบริษัทไปให้แบรนด์จีน
และปี 2024 สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น ซึ่งฟ้องได้ด้วยยอดส่งมอบรถให้ตลาดจีนครึ่งแรกปีเดียวกันที่ลดลงไป 7% โดยเฉพาะในกลุ่มรถอีวี หลังชาวจีนหันมาซื้อรถแบรนด์ที่ผลิตในประเทศ อย่าง BYD และ Xpeng มากขึ้น

อันเป็นสถานการณ์เดียวกับที่แบรนด์ต่างชาติ ไม่ว่าจากยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ ต่างก็กำลังเผชิญ
ท่ามกลางการประเมินว่าเมื่อถึงสิ้นปี 2024 ยอดขายรถอีวีในจีน (นับรวมรถไฮบริดด้วย) จะเพิ่มเป็น 10 ล้านคัน ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นแบรนด์จีน จนมีการวิเคราะห์ว่ายุคทองของแบรนด์ต่างประเทศในจีนนั้นสิ้นสุดลงแล้ว
วิกฤตของ Volkswagen กับจีนไม่ได้เชื่อมโยงกันแค่ตลาดในจีนเท่านั้น เพราะรถอีวีแบรนด์จีนที่ราคาจับต้องได้ยังทะลักเข้ามาในยุโรปด้วย

Volkswagen ในฐานะแบรนด์ใหญ่สุดของยุโรป แต่มูลค่าแบรนด์ลดลงต่อเนื่อง 47,200 ดอลลาร์ (ราว 1.6 ล้านล้านบาท) เมื่อปี 2021 ลงมาอยู่ที่ 33,791 ดอลลาร์ (ราว 1.1 ล้านล้านบาท) ในปี 2024
จึงได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ จนสหภาพยุโรปต้องตั้งกำแพงภาษีขั้นสูงกับแบรนด์รถจีนเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ในทวีป กลายเป็นสงครามการค้ารอบใหม่ระหว่างจีนกับยุโรป

ทั้งนี้ มีการประเมินว่าปัจจุบันจีนขึ้นมายืนหนึ่งประเทศที่ส่งออกรถยนต์ แซงหน้าญี่ปุ่นและเยอรมนีเรียบร้อยแล้ว และเมื่อถึงปี 2030 รถอีวีจีนจะครองสัดส่วนถึง 3 ใน 4 ของตลาดรถอีวีทั่วโลก
นี่ย่อมสร้างความสั่นสะเทือนให้กับแบรนด์รถยุโรป บีบให้บรรดาแบรนด์ยุโรปต้องปรับตัวสู้แบรนด์จีน/dw, cnn, theguardian
–
