เปลี่ยนมือไปอีกหนึ่งรายในตลาดเครื่องหอม สุขภาพ ความงาม เมื่อโคเซ่ คอร์ปอเรชั่น บริษัทเครื่องสำอางจากญี่ปุ่น ประกาศเข้าซื้อ บริษัท บุริ จำกัด เจ้าของแบรนด์ปัญญ์ปุริ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา

การเข้าซื้อ ปัญญ์ปุริ ของโคเซ่ คอร์ปอเรชั่น ปัจจุบัน (11 ธันวาคม 2567) โคเซ่ ฯ ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดสัดส่วนการเข้าถือหุ้น และมูลค่าการซื้อขายอย่างเป็นทางการ มีเพียงการรายงานข่าวจาก NHK World Japan และ Nikkei Asia ว่าโคเซ่ใช้งบซื้อธุรกิจปัญญ์ปุริด้วยมูลค่าประมาณ 12,000-13,000 ล้านเยน (ประมาณ 2,700-2,800 ล้านบาท) เพื่อแลกกับหุ้น 79% ในปัญญ์ปุริ

แม้จะเป็นงบการเข้าซื้อที่สูง แต่การเข้าซื้อในครั้งนี้ โคเซ่ฯ มีเป้าหมายคือการนำปัญญ์ปุริมาเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์เพื่อสร้างการเติบโตระดับโลกตามแผน Vision for Lifelong Beauty Partner-Milestone 2030 ซึ่งที่ผ่านมาปัญญ์ปุริมีศักยภาพจากสาขาในประเทศไทยและต่างประเทศ อย่างฮ่องกง

พร้อมรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง อ้างอิงจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

2564     รายได้รวม 200.51 ล้านบาท ขาดทุน 61.81 ล้านบาท

2565     รายได้รวม 313.52 ล้านบาท กำไร  5.61 ล้านบาท

2566     รายได้รวม 579.79 ล้านบาท กำไร 83.31 ล้านบาท

 

และโคเซ่ต้องการนำพลังของปัญญ์ปุริบุกสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในตลาด Emerging Markets ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดที่โคเซ่ฯ ต้องการเข้าไปเติบโต

การซื้อธุรกิจเครื่องหอม สุขภาพ ความงามแบรนด์ไทยของโคเซ่ฯ เพื่อเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์พาตัวเองเติบโตในตลาด ไม่ได้เป็นครั้งแรกของวงการธุรกิจ เพราะที่ผ่านมาอาร์เอส และธนจิรา กรุ๊ป เป็นสองบริษัทที่เคยเข้าซื้อธุรกิจเครื่องหอมและความงามแบรนด์ไทยต่อยอดธุรกิจให้กับตัวเอง

ในปี 2566 เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ แห่ง บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เข้าซื้อหุ้น 60% ใน เอิบ เอเชีย เจ้าของแบรนด์เครื่องหอม Erb ในมูลค่า 72.20 ล้านบาท ผ่านบริษัท อาร์เอส ลิฟเวลล์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ด้วยเหตุผลขยายขีดความสามารถในการเข้าถึงตลาด Wellness & Spa ให้กับธุรกิจคอมเมิร์ซของอาร์เอส

และในส่วนของ Erb การขายหุ้นส่วนหนึ่งให้กับอาร์เอส อาจเป็นพลังสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจที่ขาดทุน

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า เอิบ เอเชีย มีผลประกอบการ

2564 รายได้รวม 42.02 ล้านบาท กำไร 8.14 ล้านบาท

2565 รายได้รวม 71.11 ล้านบาท ขาดทุน 5.27 ล้านบาท

ส่วนปี 2566 ไม่มีการเปิดเผยเรื่องรายได้ พร้อมกับจดทะเบียนในชื่อบริษัทใหม่ในชื่อ เอิบ เวลเนส จำกัด เพื่อการเติบโตในอนาคต

นอกจากนี้ เมื่อมองลึกลงไปในปี 2561 ธนจิรา กรุ๊ป เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ซื้อ หาญ โกลบอล บริษัท เครื่องหอม สุขภาพ ความงาม แบรนด์ HARNN และ Vuudh สัดส่วน 100% ด้วยงบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อต้องการมีแบรนด์ของตัวเอง เพื่อบาลานซ์ความเสี่ยงจากเดิมที่ธนจิราทำธุรกิจด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น Marimekko, Pandora, Cath Kidston ที่อาจจะถูกยกเลิกสัญญาในวันใดวันหนึ่งได้

และการมีแบรนด์เป็นของตัวเองยังสร้างโอกาสในการทำตลาด ขยายฐานลูกค้า ผ่านสินค้า บริการ ช่องทางการขาย การสื่อสารการตลาด และอื่น ๆ ไปทั้งไทยและต่างประเทศ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของแบรนด์ หรือติดกับข้อมูลผูกมัดทางสินค้า เช่น การจัดตั้งบริษัท หาญเจแปน จำกัด จำหน่ายสินค้า HARNN และ Vuudh ในประเทศญี่ปุ่น

โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาข้อมูลจากรายงานประจำปีของธนจิราฯ พบว่าแบรนด์ HARNN มีรายได้ดังนี้

2564    รายได้ 101.70 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 12.99% ของธนจิราทั้งหมด

2565   รายได้ 191.47 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 14.86% ของธนจิราทั้งหมด

2566   รายได้ 246.88 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 17.26% ของธนจิราทั้งหมด

และยังมีรายได้จากธุรกิจสปาอีกหนึ่งบริการ

2564    รายได้ 1.61 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 0.21% ของธนจิราทั้งหมด

2565   รายได้ 8.45 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 0.66% ของธนจิราทั้งหมด

2566   รายได้ 16.44 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 1.15% ของธนจิราทั้งหมด

และที่ผ่านมาตลาดเครื่องหอม สุขภาพ และความงาม ยังเป็นตลาดที่มูลค่าที่น่าสนใจทั้งไทยและโลก

เช่นตลาดเครื่องหอมในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 48,000 ล้านบาท บนพฤติกรรมคนไทยชอบความหอมของกลิ่นต่าง ๆ ที่สร้างความผ่อนคลายในทุกช่วงเวลา

ส่วนตลาดโลกข้อมูลจาก Global Market Insight พบว่าตลาด Aromatherapy มีมูลค่าเติบโตในทุก ๆ ปี เฉลี่ยปีละ 10.9% นับจากปี 2566-2575 โดยในปี  2565 มูลค่า 1,900 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 64,300 ล้านบาท)

จึงไม่แปลกเลยที่ทั้งสามบริษัทที่ Marketeer ได้กล่าวมาจะมองเห็นโอกาสการเติบโตด้วยแบรนด์เครื่องหอม สุขภาพ และความงาม


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer