Trend/ผู้ที่เตรียมพร้อมและตื่นตัวอยู่เสมอย่อมสามารถรับมือได้ทุกปัญหา ฝ่าได้ทุกวิกฤต และยังคงเดินหน้าต่อไปได้ในทุกสถานการณ์ ขณะเดียวกันก็ต้องหูไว-ตาไวในการรับรู้ข่าวสารและความเคลื่อนไหวด้วย

ถ้าเป็นบอร์ดบริหารของบริษัทและผู้ประกอบการเรื่องที่ควรรู้มากสุดช่วงส่งท้ายปีต่อเนื่องไปถึงปีใหม่มาถึง คือ ทิศทางเศรษฐกิจโลก โดยสำหรับปี 2025 นี่คือความเคลื่อนไหวที่อาจจะเกิดขึ้น และภาคธุรกิจต้องเตรียมตัวตั้งรับ

มีข่าวดีเรื่องเงินเฟ้อ: หลังทั่วโลกเผชิญภาวะเงินเฟ้อต่อเนื่องมาหลายปี ในปี 2025 สถานการณ์จะดีขึ้น เพราะมีแนวโน้มว่าราวกลางปีอัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศจะคงตัวอยู่ที่ 2% หรืออาจลดลง และบรรดาธนาคารกลางอาจลดอัตราดอกเบี้ยลงมา

นี่ถือเป็นข่าวดี เพราะจะเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ กล้าเดินหน้าสร้างรายได้ด้วยหนทางใหม่ ๆ และบริษัทต่าง ๆ อาจทำกำไรได้มากขึ้น หลังกำไรและตัวเลขในการดำเนินธุรกิจอื่น ๆ ร่วงหรือถูกหั่นออกไป

และไม่กล้าทำอะไรที่เสี่ยงหรือคิดนอกกรอบจากผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อมาหลายปี  

เดินหน้าไปคนละทิศ: แม้เงินเฟ้อที่จะทรงตัวหรือลดลง รวมไปถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นถือเป็นข่าวดี แต่ก็เกิดขึ้นท่ามกลางทัพความท้าทายและปัจจัยลบต่าง ๆ ที่บีบให้บริษัทส่วนใหญ่ยังต้องดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ

ความท้าทายแรก ๆ และยังเป็นทิศทางเศรษฐกิจในปี 2025 ด้วย นั่นคือ รัฐบาลแต่ละประเทศจะใช้นโยบายต่างกันในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามปัญหาที่ต่างกันไป

เช่นจีน ที่รัฐบาลยังต้องหาทางคลี่คลายวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ ท่ามกลางคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2025 ที่อาจอยู่ 4.2% ลดลงจาก 5% ของปี 2024 และปี 2026 อาจลดลงอีก ดังนั้น บริษัทที่ทำธุรกิจในจีน โดยเฉพาะอสังหาฯ หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องต้องทำทุกทางเพื่อลดผลกระทบที่จะตามมา

ส่วนที่ยุโรป เศรษฐกิจอาจโตไม่มากนัก เพราะยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเยอรมนี ประเทศขนาดใหญ่สุดในทวีปและเสาหลักของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป

ขณะที่สหรัฐฯ แม้เศรษฐกิจอาจโตจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลัง โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดี แต่ประชาชนยังคงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด เพราะค่าจ้างเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำ

จากสถานการณ์เหล่านี้ บริษัทจึงไม่สามารถใช้นโยบายเดียวที่ครอบคลุมการทำธุรกิจทุกประเภทในทุกประเทศ (One Fit All) ได้ แต่ควรหันมาปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละประเทศ (Tailor-Made) แทน

 

ภาษีทำคิดหนัก: ทิศทางเศรษฐกิจโลกต่อมาที่ภาคธุรกิจต้องปรับตัวคือ การขึ้นภาษีและดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวด เช่น ฝรั่งเศสที่อาจประกาศขึ้นภาษีนิติบุคคล ส่วนสหรัฐฯ ก็นอกจากขึ้นภาษีแล้ว ยังอาจมีลดงบประมาณของหน่วยงานรัฐ ท่ามกลางการคาดการณ์ว่า อีลอน  มัสก์ อาจเข้ามาดูแลเรื่องนี้

จากสถานการณ์ดังกล่าว ผู้บริหารของบริษัทต่าง ๆ จึงต้องคิดให้รอบคอบ และท่องเอาไว้ในใจเสมอว่า ลงทุนในโครงการที่คุ้มค่าเท่านั้น

พิษล้มละลายลุกลาม: ปี 2025 ข่าวการล้มละลาย เลิกจ้างหรือปิดตัว จะยังคงมีให้เห็นตามสื่อทั่วโลก ต่อเนื่องจากข่าวปลดพนักงานครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมนีปี 2024 และการล้มละลายในสหรัฐฯ ซึ่งเฉพาะไตรมาสแรกปี 2024 ก็เพิ่มมา 28% จากปี 2023 รวมไปถึงการปิดกิจการที่เพิ่มสูงในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น ในปี 2024

ส่วนในยุโรปอีกหลายประเทศ เช่น สวีเดน เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และไอร์แลนด์ พิษล้มละลายอาจยังลุกลามต่อเนื่อง โดยธุรกิจที่เกิดอาจเผชิญการล้มละลายหรือการเลิกจ้างมากสุด คือ พลังงานและค้าปลีก ซึ่งเป็นผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลงและผู้บริโภคใช้จ่ายอย่างระมัดระวังเพราะความไม่แน่นอนด้านหน้าที่การงานตามลำดับ

ดังนั้น จึงควรบริหารความเสี่ยงให้ดีและมองลู่ทางการทำธุรกิจในประเทศ อย่าง ฮังการี แอฟริกาใต้ และอินเดีย ที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่ย่ำแย่มากไว้บ้าง  

ความไม่ไว้ใจเร่งไฟ: ทิศทางเศรษฐกิจสุดท้ายที่จะเห็นกันในปี 2025 สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ยุโรป รวมไปถึงประเทศอื่น ๆ ด้วย เพราะสหรัฐฯ ที่จะมีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดี ประกาศขึ้นภาษีนำเข้า เพื่อปกป้องเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจะทำให้การค้าทั่วโลกที่ต้องพึ่งพาการส่งออกอาจโตไม่มากไปกว่า 2.5%

นอกจากนี้ การค้า การขนส่ง และซัปพลายเชนทั่วโลก ยังต้องเผชิญกับความขัดแย้งในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในยุโรปและตะวันออกกลาง จนอาจกล่าวได้ว่าความไม่ไว้ใจกันของประเทศต่าง ๆ ยิ่งไปเร่งไฟในความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และทำให้ความขัดแย้งยิ่งลุกลาม

ดังนั้น อีกอย่างที่ต้องบรรจุไว้ในนโยบายปี 2025 ของบริษัททั่วโลก คือการกระจายความเสี่ยง ไม่พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป และการสร้างมิตรทางธุรกิจที่สามารถพึ่งพากันได้/alliance-trade


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer