อย่างที่รู้กันว่าทุกวงการธุรกิจในเมืองไทย กำลังปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ที่ถูกผลกระทบจากยุคดิจิทัล เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคไปอย่างคาดไม่ถึง และไม่สามารถคาดเดาได้เลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคค้าปลีก ที่ถูกผลกระทบโดยตรง เพราะวันนี้ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องออกจากบ้านก็สามารถสั่งซื้อสินค้ามาส่งได้ถึงที่

เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ทางออกเดียวที่ทำได้ คือต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวไปตามพฤติกรรมของผู้บริโภค เหมือนอย่างที่ เซ็นทรัลพัฒนา หรือ ซีพีเอ็น มองว่า ยุคดิจิทัลเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส ที่จะสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตได้ในอนาคต

ซีพีเอ็น

ปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น บอกว่า ที่ผ่านมาก็มีการปรับตัวมาตลอด อย่างในช่วง 2-3 ปีมานี้ก็ได้ปรับคอนเซ็ปต์จากวันสต็อปเซอร์วิส มาเป็นไลฟ์สไตล์เอ็กซ์พีเรียนซ์

ทั้งการเปิดเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกตที่เน้นตอบโจทย์กลุ่มครอบครัว หรือการเปิดเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ ที่สร้างขึ้นรองรับกลุ่มคนเมืองที่ต้องการใช้ชีวิตทันสมัย ไปพร้อมๆกับการรักสุขภาพ ธรรมชาติ และสัตว์เลี้ยง

ทุกวันนี้เทรนด์เหล่านี้มีความขัดเจน คนไม่ได้มาช้อปปิ้ง กินข้าว ดูหนังและกลับบ้านเลยเหมือนก่อน แต่วันนี้มาเพื่อต้องการหาประสบการณ์ และตอบโจทย์ความชอบของตัวเองในแต่ละด้าน นี่ทำให้ศูนย์การค้าต้องเข้าใจในไลฟ์สไตล์ ความชอบของคนแต่ละกลุ่ม ไม่สามารถสร้างเป็นแมสได้อีกต่อไป

อีกทั้งยังมีเป้าหมายในการมาศูนย์การค้า เพราะเช็คข้อมูลจากในออนไลน์มาก่อนแล้ว ไม่ได้เข้ามาเพื่อเดินเรื่อยเปื่อยเหมือนในอดีต ทำให้ซีพีเอ็นต้องปรับตัวทั้งในโลกออฟไลน์และออนไลน์ จนเป็นที่มาของการทำวิสัยทัศน์ 5ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนตัวเองจากช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ มาสู่ศูนย์การของการใช้ชีวิตของผู้บริโภค”

วิสัยทัศน์ 5 ปี (2018-2022) อยู่ภายใต้แนวคิด “Co-Create Center of Life” ผ่าน 3 กลยุทธ์หลักได้แก่

1) Co-Creating Destination Concepts: ทำให้ศูนย์การค้าเราเป็น Destination โดยการปรับพื้นที่เชื่อมโยงกับลูกค้าเพื่อดึงดูดกลุ่มคนที่มีความชอบคล้ายๆ กัน และจัดกลุ่มสินค้าและบริการที่ segment ตามไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ นำร่องด้วย 5 Destination Concepts ได้แก่ ‘Family Destination’ ตอบโจทย์ครอบครัวยุคใหม่

‘Food Destination’ ตอบโจทย์ทุกวัตถุประสงค์เกี่ยวกับอาหาร, Heart&Soul Filler กินเพื่อดื่มด่ำความสุขและบรรยากาศ, ‘Fashion Destination’ ศูนย์รวมสินค้าแฟชั่น, Co-Working Destination’ เป็นพื้นที่สำหรับความคิดสร้างสรรค์

และ ‘Sport Destination’ พื้นที่ของคนที่รักสุขภาพ ชอบการออกกำลังกาย รวมไปถึงการทำศูนย์ราชการย่อยๆ ที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประมาณ 10-15 หน่วยงานมาไว้ด้วยกัน เปิดไปแล้วประมาณ 5 แห่งด้วยกัน

โดยจะมีทั้งสิ้นมากกว่า 20 Destinations ที่จะตอบรับไลฟ์สไตล์หลากหลายของลูกค้า และปีนี้จะเริ่มเห็น Destination Concept ต่างๆ เกิดขึ้นในศูนย์การค้า 18 แห่งทั่วประเทศ

2) Co-Creating Digital Platform ที่แข็งแกร่ง เชื่อมประสบการณ์ไร้รอยต่อหรือ Seamless Experience ใน 3 แนวทางคือ 2.1 Real-Time Personalized Offer ใช้ Big Data เข้าถึงลูกค้ากว่า 12 ล้านคนจาก The 1 Card เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายสินค้าและบริการของคู่ค้าไปสู่ลูกค้าได้

2.2 Online Experience: เชื่อมมือถือของลูกค้าให้เข้าถึงบริการของผู้เช่าภายในศูนย์ฯ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วที่สุด และ 2.3 Integrated Market Platform: จับมือกับ Central JD ที่จะเพิ่มช่องทางการขายให้ seamless ยิ่งขึ้น

3) Co-Creating Partnership ร่วมทุนกับบริษัทที่มีชื่อเสียง เช่น I-Berhad สร้างศูนย์การค้าไอซิตี้, ดุสิตธานี สร้าง Mix-Use Project ยิ่งใหญ่ใจกลางเมือง, และ IKEA เสริมแกร่งความเป็น Super Regional Mall ของเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต รวมไปถึง การทดลองตลาดใหม่ด้วย Pop-up Store ตามสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ และการทำ Marketing Campaign ต่างๆ

ไม่เพียงเท่านั้นภายใน 5 ปีต่อจากนี้ยังจะมีการลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท เฉลี่ยปีละ 15,000 – 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 80% ลงทุนในด้านรีเทลทั้งการเปิดตัวใหม่ทั้งในและต่างประเทศรวมไปถึงการรีโนเวท

นำร่องด้วย 10 โครงการที่จะเกิดขึ้นภายในปี 2019 ที่จะสร้าง Co-Create Center of Life ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์ โฉมใหม่, เซ็นทรัล ภูเก็ต, เซ็นทรัล ไอซิตี้, เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา, เซ็นทรัล วิลเลจ,เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว, พระราม 3, เชียงราย, ชลบุรี และเซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยาบีช

ส่วนอีก 20% ที่เหลือจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่นที่ไม่ใช่รีเทล เช่น โรงแรม ที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน เพราะมองว่าจะเข้ามาช่วยเสริมธุรกิจรีเทลให้แข็งแรงขึ้น ทั้งทำในที่อื่นๆ หรือทำเป็นมิกซ์ยูสซึ่งขณะนี้มี 16 โครงการที่เข้าข่ายทำได้

“วันนี้มีที่ดินอยู่แล้วทั้งหมด 9 แห่งทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ประมาณ 30-40 ไร่ขึ้นไป ซึ่งการทำเป็นโครงการเดี่ยวๆต่อไปอาจจะอยู่ได้อยากขึ้น การทำเป็นมิกซ์ยูสจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ครบถ้วน อีกทั้งช่วยทำให้สามารถถึงจุดคุ้มทุนได้เร็วขึ้น จากเดิม 7-10 ปี ก็จะลดลงมาประมาณ 1 ปี เนื่องจากในภาพรวมเม็ดเงินมีเยอะขึ้น”

ปัจจุบันซีพีเอ็นมีพื้นที่ขาย (Net Leasable Area หรือ NLA) มากกว่า 1.7 ล้านตารางเมตร บริหารศูนย์การค้าภายใต้แบรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซา และ เซ็นทรัลเฟสติวัล จำนวน 32 โครงการ (14 โครงการ ในกรุงเทพฯและปริมณฑล 18 โครงการในต่างจังหวัด)

ศูนย์อาหาร 28 แห่ง, อาคารสำนักงานให้เช่า 7 แห่ง, โรงแรม 2 แห่ง (Hilton พัทยา, Centara อุดรธานี), อาคารที่พักอาศัย 1 แห่ง (เซ็นทรัล ซิตี้ เรสซิเดนท์) และคอนโดมิเนียม ภายใต้ชื่อ เอสเซ็นท์ (ESCENT) และเอสเซ็นท์ วิลล์(ESCENT VILLE) รวม 6 แห่ง

มีลูกค้าเข้ามาที่ศูนย์การค้า 1.5 ล้านคนต่อวันในทุกศูนย์ ใช้เวลาเฉลี่ย 2-3 ชั่วโมง มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจาก 21,234 ล้านบาท ในปี 2013 เป็น 30,875 ล้านบาท ในปี 2017 และในปี 2018 ตั้งเป้าเติบโตประมาณ 20%

ภายในปี 2019 ซีพีเอ็น จะบริหารศูนย์การค้ามากกว่า 36 แห่ง ทั้งโครงการในประเทศและต่างประเทศ โดยภายใน 5 ปีตามแผนจะมีพื้นที่ขายเพิ่มขึ้นเป็น 2.2 ล้านตารางเมตรหรือเพิ่มเฉลี่ยปีละ 1.5. แสนตารางเมตร ด้านรายได้ตั้งเป้าโตเฉลี่ยปีละ 13% เมื่อถึง 2022


อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer