ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย ทำธุรกิจประกันภัยวิกฤต กระทบค่าครองชีพที่สูงอยู่แล้วให้เพิ่มขึ้นอีก

ไฟป่าไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับแคลิฟอร์เนีย แต่การทำลายล้างของไฟป่าได้เพิ่มมากขึ้นกว่าทุก ๆ ครั้ง ครั้งนี้ถือเป็นไฟป่าที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เนื่องจากอุณหภูมิโลกสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีฝนตกหนักขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ ส่งผลให้พืชพรรณต่าง ๆ เติบโตและกลายเป็นเชื้อเพลิงในช่วงฤดูแล้ง เพิ่มโอกาสการเกิดไฟป่ามากขึ้น

ซึ่งเหตุไฟป่าครั้งใหญ่ได้พรากชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ อาคารบ้านเรือนนับหมื่นหลังพังเสียหาย ไหม้วอดทั้งเมือง คาดว่าความเสียหายในครั้งนี้อาจสูงถึง 150,000 ล้านดอลลาร์ กระทบตลาดประกันภัยของแคลิฟอร์เนียโดยตรง

ภัยธรรมชาติมากมายเกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนียต่อเนื่อง เมื่อบริษัทไม่สามารถเพิ่มเบี้ยประกันให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นได้ ส่งผลให้บริษัทประกันภัยรายใหญ่แห่ถอนตัว เช่น Heritage บางแห่งจำเป็นต้องลดความคุ้มครองแทน บริษัทประกันภัยเอกชนได้ลดความคุ้มครองในพื้นที่เสี่ยงทั่วแคลิฟอร์เนียในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

(AP Photo/Ethan Swope)

บริษัทประกันภัยในแคลิฟอร์เนียยกเลิกกรมธรรม์หลายเดือนก่อนเกิดไฟป่าในลอสแองเจลิส

ในปี 2019 จำนวนกรมธรรม์ประกันภัยบ้านในแคลิฟอร์เนียที่ไม่ได้รับการต่ออายุเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ในปี 2023 บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ 2 แห่ง ได้แก่ State Farm และ Allstate ประกาศว่าจะหยุดทำกรมธรรม์ประกันภัยใหม่ในแคลิฟอร์เนีย เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางสภาวะการเงิน เนื่องจากรัฐเกิดภัยพิบัติบ่อยครั้ง

ข้อมูลล่าสุดจากกรมธรรม์ประกันภัยของรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุว่าระหว่างปี 2020-2022 บริษัทประกันภัยปฏิเสธที่จะต่ออายุกรมธรรม์กว่า 2.8 ล้านฉบับในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดไฟป่า ซึ่งรวมถึง 531,000 ฉบับในลอสแองเจลิสเคาน์ตี  การที่บริษัทประกันภัยถอนตัวกลายเป็นวิกฤตสำหรับเจ้าของบ้านทั่วทั้งรัฐ

(AP Photo/Ethan Swope)

คนจำต้องหันไปพึ่งประกันภัยรัฐ

ปัญหาการยกเลิกกรมธรรม์ทำให้เจ้าของบ้านต้องเลิกทำประกันอัคคีภัย แล้วหันไปพึ่งพาโปรแกรมที่รัฐแคลิฟอร์เนียกำหนดขึ้น (แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้เสียภาษี) เรียกว่าแผน California FAIR

ซึ่งเดิมกรมธรรม์นี้ออกแบบมาเพื่อใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับประกันอัคคีภัย ได้รับการปฏิรูปและขยายแผนโดยผู้ว่าการรัฐ Gavin Newsom เป็นแผนที่จะช่วยให้ประชาชนได้รับประกันภัยที่เชื่อถือได้และราคาไม่แพง แต่กรมธรรม์นี้จะมีเบี้ยประกันที่สูงกว่าประกันภัยส่วนบุคคลทั่วไป และให้ความคุ้มครองน้อยกว่า เจ้าของบ้านมักจะต้องซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมในราคาที่สูงกว่า

แต่เมื่อประชาชนไม่มีทางเลือกเนื่องจากประกันภัยของเอกชนแห่ถอนตัวออกไปเกือบหมด ทำให้ความต้องการกรมธรรม์ California FAIR พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมูลค่าการประกันภัยที่อยู่อาศัยในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 61% เป็น 458 พันล้านดอลลาร์จากเมื่อปีก่อน และเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าเมื่อเทียบกับสี่ปีที่แล้ว ส่วนมูลค่าการประกันภัยเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นเร็วเกือบ 2 เท่า เป็น 26.6 พันล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายน และเพิ่มขึ้น 464% ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา

ทำให้ FAIR ต้องเพิ่มจำนวนกรมธรรม์มากกว่าสองเท่าระหว่างปี 2020-2024 ปัจจุบันชาวแคลิฟอร์เนียกว่า 450,000 คน ต้องพึ่งแผน FAIR ของรัฐ ซึ่งทำให้มูลค่าการให้ความคุ้มครองเพิ่มสูงขึ้นถึง 458,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเกือบสามเท่าของตัวเลขในปี 2020

เมื่อคนทำประกันกับ FAIR จำนวนมาก สิ่งที่ตามมาคือการจ่ายค่าสินไหมทดแทนมูลค่ามหาศาล เพียงแค่ในเขต Pacific Palisades ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการถอนตัวของผู้รับประกันภัยมากที่สุด เนื่องจากเป็นพื้นที่ของบ้านเศรษฐีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์จำนวนหลายพันหลัง ประชาชนประสบปัญหาไม่ต่ออายุกรมธรรม์หลายครั้ง ซึ่งปัจจุบันทรัพย์สินจำนวนมากในพื้นที่ดังกล่าวพึ่งพาแผน FAIR อยู่ แปลว่ารัฐจะต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวนมหาศาล และนั่นทำให้ระบบของรัฐที่ตึงเครียดอยู่แล้วต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางการเงินที่อาจสร้างความเสียหายใหญ่ได้

(AP Photo/Mark J. Terrill)

แต่ California FAIR พยายามให้คำมั่นกับเจ้าของบ้านว่า จะชำระค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดได้ แน่นอนว่าความเสียหายระดับนี้ ต้องส่งผลถึงสถานะทางการเงินของ FAIR อย่างแน่นอน หลังจากภัยพิบัติครั้งนี้ นอกจากเจ้าของบ้านแทบจะต้องจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้น ค่าครองชีพในแคลิฟอร์เนียอาจจะสูงตามไปด้วย

ค่าครองชีพในแคลิฟอร์เนียที่สูงลิ่วอยู่แล้ว จะเพิ่มขึ้นอีก

ตามการวิจัยของสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจในปี 2021 พบว่าค่าครองชีพโดยเฉลี่ยของแคลิฟอร์เนียอยู่ที่ 53,082 ดอลลาร์ต่อปี (สูงกว่า 70,000 ดอลลาร์ในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น เช่น ลอสแองเจลิส) และค่าใช้จ่ายสำหรับค่าอาหารอยู่ที่ 298 ดอลลาร์ต่อเดือน เป็นจำนวนที่มากกว่ารัฐอื่น ๆ และค่าสาธารณูปโภคอีกเฉลี่ยเดือนละเกือบ 438 ดอลลาร์

ด้านค่าที่อยู่อาศัยในแคลิฟอร์เนีย ตามดัชนีมูลค่าบ้านของ Zillow มูลค่าบ้านเฉลี่ยในแคลิฟอร์เนียในเดือนพฤษภาคม 2024 อยู่ที่ 786,180 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ตัวอย่างราคาบ้านตามเมืองใหญ่ที่สุดในแคลิฟอร์เนีย

พื้นที่ มูลค่าบ้านเฉลี่ย
ลอสแองเจลิส 972,818 ดอลลาร์
ซานดิเอโก 1,032,804 ดอลลาร์
ซานโฮเซ 1,477,444 ดอลลาร์
ซานฟรานซิสโก 1,296,843 ดอลลาร์
เฟรสโน 382,167 ดอลลาร์
ซาคราเมนโต 485,628 ดอลลาร์
หาดยาว 844,933 ดอลลาร์
โอ๊กแลนด์ 812,106 ดอลลาร์
เบเกอร์สฟิลด์ 383,247 ดอลลาร์
แอนะไฮม์ 914,289 ดอลลาร์

ตามข้อมูลของ Zillow Rental Manager ค่าเช่าเฉลี่ยสำหรับห้องนอนและประเภทอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทอยู่ที่ 2,800 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ 33%

รัฐประกาศกฎเกณฑ์ประกันภัยใหม่

เพื่อให้เจ้าของบ้านในแคลิฟอร์เนียในพื้นที่เสี่ยงภัยสูงมีทางเลือกอื่นนอกเหนือจาก California FAIR  กรมประกันภัยของแคลิฟอร์เนียได้ประกาศกฎระเบียบใหม่เมื่อสองสัปดาห์ก่อน กำหนดให้บริษัทประกันภัยต้องเขียนกรมธรรม์ในพื้นที่เสี่ยงไฟไหม้อย่างน้อย 85% ของส่วนแบ่งการตลาดทั่วทั้งรัฐ และอนุญาตให้สามารถนำต้นทุนของนโยบายการประกันภัยต่อ ซึ่งเป็นนโยบายที่ซื้อจากบริษัทอื่นเพื่อกระจายความเสี่ยง มาคำนวณเป็นส่วนหนึ่งของอัตราเบี้ยประกันภัยได้ (แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐเดียวที่ไม่อนุญาตให้นำต้นทุนของการประกันภัยต่อมาคำนวณเป็นส่วนหนึ่งของอัตราเบี้ยประกันภัย)

ดังนั้น อัตราที่บริษัทประกันภัยเอกชนจะเรียกเก็บมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากนโยบายใหม่นี้ ความเสี่ยงด้านสภาพอากาศที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้บริษัทประกันภัยเอกชนต้องพิจารณาการดำเนินธุรกิจในรัฐนี้ใหม่ ถ้าหากจะดำเนินธุรกิจต่อไปคาดว่าเบี้ยประกันจะต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอน นักวิเคราะห์คาดว่าเบี้ยประกันอาจสูงขึ้นถึง 40% โดยเฉลี่ย แม้ว่าจะไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูงก็ตาม  และถ้ายิ่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูงเบี้ยประกันอาจพุ่งไปถึง 100% หรือมากกว่านั้น รวมถึงเหตุภัยพิบัติดังกล่าวยังทำให้คนเริ่มตระหนักว่า พื้นที่เสี่ยงภัยสูงนี้เหมาะสำหรับสร้างบ้านหรือไม่ ควรปล่อยเป็นพื้นที่ธรรมชาติ หรือหากจะสร้างบ้านก็ให้มีแค่ราคาประหยัดจะถูกต้องมากกว่าหรือไม่

(Maxar Technologies via AP)

ไฟป่าแคลิฟอร์เนีย กระทบตลาดที่อยู่อาศัย

เหตุไฟป่ายังส่งผลกระทบต่อตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯ เพราะบริษัทประกันภัยเริ่มพิจารณาเกณฑ์การให้ความคุ้มครองใหม่ เช่น พื้นที่ Altadena ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างป่ากับเมือง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ แต่พื้นที่ดังกล่าวกลับไม่ได้อยู่ในรายชื่อพื้นที่ประสบภัยที่คณะกรรมการประกันภัยของรัฐเผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว เบี้ยประกันเฉลี่ยในพื้นที่นี้อยู่ที่ประมาณ 2,300 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้อื่น ๆ ทางตอนเหนือของรัฐมาก และบ้านที่ได้รับความคุ้มครองผ่านบริษัทประกันภัยที่รัฐให้การสนับสนุนยังมีตัวเลขต่ำกว่า 10% อีกด้วย

แต่นี่ไม่ใช่วิกฤตประกันภัยครั้งแรกของแคลิฟอร์เนีย ก่อนหน้านั้นในปี 2018 รัฐเคยต้องเผชิญเหตุไฟไหม้แคมป์ เมืองชิโก ก่อให้เกิดความเสียหายมูลค่า 16,500 ล้านดอลลาร์ และส่งผลให้บริษัทต่าง ๆ ที่ได้ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยในรัฐนั้นขาดทุน

ทั้งนี้ การศึกษาวิจัยในปี 2023 สรุปว่าพื้นที่ที่เกิดไฟป่าในช่วงฤดูร้อนในแคลิฟอร์เนียตอนกลางและตอนเหนือเพิ่มขึ้นถึง 500% ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เกิดจากภาวะโลกร้อน เป็นปัจจัยของ “วันที่เหมือนจะเกิดไฟป่า” กล่าวคือเป็นวันที่ลมแรง ร้อน และแห้งแล้งทั่วทั้งแคลิฟอร์เนีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแอ่งทะเลทรายทางตะวันออกของแอลเอ ซึ่งปัจจุบันมี “วันที่เหมือนจะเกิดไฟป่า” เช่นนี้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 61 วันต่อปี เมื่อเทียบกับห้าทศวรรษที่แล้ว

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer