MINT ปี 2024 กำไรสุทธิโต 43% ที่ 7.7 พัน ลบ. เปิดโรงแรมใหม่ 280 แห่ง ร้านอาหาร 1,500 ร้านสาขาใหม่ ภายในปี 2024 – 2027 วางกลยุทธ์เน้นรับจ้างบริหารโรงแรม และการทำแฟรนไชส์ร้านอาหาร เผย ‘ไมเนอร์ ฟู้ดในไทย’ แข็งแกร่ง ลุยขยายปีนี้ 50 ร้านสาขาใหม่ โฟกัส ‘ร้านกาก้าในห้าง’ และ ‘ร้านแดรี่ ควีน หน้าเซเว่นฯ’
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) ผู้นำในการดำเนินธุรกิจระดับสากล ประกอบด้วย 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ใน 58 ประเทศ และธุรกิจร้านอาหาร ใน 24 ประเทศ เปิดเผยผลกำไรสุทธิ ปี 2024 เพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่ 7,750 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 4 ปี 2024 เพิ่มขึ้น 269% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่ 3,632 ล้านบาท
ซึ่งผลงานทางการเงินที่แข็งแกร่ง สะท้อนถึงการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม ความต้องการเดินทางทั่วโลกที่ยังคงฟื้นตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง และสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นของบริษัท เป็นการวางรากฐานสำหรับการเติบโตและการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในปี 2025

คุณดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT และกลุ่มผู้บริหารระดับสูง ร่วมให้ข้อมูลภาพรวมแผนงานบริษัทหลังจากนี้
ไมเนอร์ โฮเทลส์
ธุรกิจโรงแรมของบริษัทยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการเดินทางทั่วโลกและการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในตลาดสำคัญ
ยุโรปและอเมริกา: รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน นำโดยราคาห้องพักเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 6% ซึ่งได้รับแรงหนุนจากวินัยด้านการกำหนดราคาและการเดินทางในภูมิภาคที่สม่ำเสมอ โดยสเปนเป็นประเทศที่มีผลงานการเติบโตดีที่สุด รองลงมาคือยุโรปกลาง เบเนลักซ์ และอิตาลี

Avani Ratchada
ประเทศไทย: รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนพุ่งสูงขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น การขยายเส้นทางการบิน และกลยุทธ์การขายแบบกำหนดเป้าหมายที่ดึงดูดนักเดินทางคุณภาพสูงจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย
ปี 2024 บริษัทเปิดโรงแรมใหม่ 30 แห่ง มีห้องพักรวมกว่า 3,000 ห้อง ในเมืองสำคัญต่าง ๆ ทั่วทวีปเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และโอเชียเนีย โดยการเปิดตัวโรงแรมครั้งสำคัญ ได้แก่ โรงแรม NH Collection Helsinki Grand Hansa ในประเทศฟินแลนด์ โรงแรม Anantara Stanley & Livingstone Victoria Falls ในประเทศซิมบับเว และ Anantara Jewel Bagh Jaipur Hotel ในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย
ไมเนอร์ ฟู้ด
ปี 2024 ไมเนอร์ ฟู้ด มียอดขายโดยรวมทุกสาขา (TSS) ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 8% และสิงคโปร์มียอดขายรวมเติบโต 12% เป็นผลมาจากการขยายตัวของยอดขายต่อร้านเดิมและจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น

โดยปี 2024 ไมเนอร์ ฟู้ดมีการเปิดตัวแบรนด์และรูปแบบร้านค้าใหม่ ๆ เช่น ร้าน สเต็ก แอนด์ มอร์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นตัวเลือกการรับประทานอาหารระดับพรีเมียมในราคาที่เข้าถึงได้ และร้าน แบทเทอร์แคช (สิงคโปร์) ซึ่งเป็นแนวคิดร้านฟิชแอนด์ชิปส์สมัยใหม่ที่ดึงดูดผู้บริโภคในเมือง

ไมเนอร์ ฟู้ดได้เร่งการขยายธุรกิจด้วยการขายแฟรนไชส์ที่บริษัทเป็นเจ้าของ เช่น เบนิฮานา, ซิซซ์เล่อร์ และกาก้า โดยมีการเปิดร้านเบนิฮานาที่กรุงปารีส การเปิดสาขาซิซซ์เล่อร์หลายแห่งในประเทศญี่ปุ่นและเวียดนาม และการขยายสาขาร้านกาก้าทั่วประเทศไทย
พอร์ตร้านอาหารเกือบ 2,700 สาขา ใน 24 ประเทศ ‘ประเทศไทย’ นับเป็นตลาดหลักที่มีสัดส่วนรายได้ 60% ของทั้งกลุ่มไมเนอร์ ฟู้ด ปี 2025 วางแพลนเปิดร้านสาขาใหม่ในไทยรวมทุกแบรนด์ 50 สาขา ให้ความสำคัญกับแบรนด์กลุ่มรับประทานง่าย รับประทานเร็ว

ปี 2024 บริษัทได้มีการทดลองนำแบรนด์ที่เพอร์ฟอร์แมนซ์ดีอย่าง ‘แดรี่ ควีน (Dairy Queen)’ มาทำสาขาสแตนด์อโลน ไซซ์คีออส 40-50 ตร.ม. มีที่นั่งหน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น โซนปริมณฑล ซึ่งมีขนาดใหญ่ มีที่จอดรถ ต่อยอดจากโมเดลที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในปั๊มน้ำมัน รวมเปิดไป 5 สาขา
พบว่าผลตอบรับเป็นไปด้วยดี แดรี่ ควีนหน้าร้านเซเว่นฯ ทำยอดขาย 700,000 – 800,000 บาทต่อเดือน ยอดซื้อต่อบิลอยู่ที่ 200 บาท สูงกว่าสาขาในห้างซึ่งอยู่ที่ 500,000 บาทต่อเดือน ยอดซื้อต่อบิลอยู่ที่ 120 บาท
สาเหตุสำคัญมาจากการเป็นกลุ่มอาหารทางเลือกใหม่ในพื้นที่ขาย ระยะเวลาขายนานและยืดหยุ่นกว่าและมีขนาดพื้นที่มากกว่าแดรี่ควีนในห้าง
ปี 2025 วางเป้าเปิดแดรี่ ควีนหน้าเซเว่นฯ อีก 10 สาขาใหม่ ยังเจาะจงอยู่ในเซเว่นฯ โซนปริมณฑล ซึ่งมีการวางตัวเป็นมินิ คอมมูนิตี้มอลล์ ตอบโจทย์แทรฟฟิกในพื้นที่ซึ่งอยู่ในระยะทางไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทางไปห้างสรรพสินค้าบ่อย ๆ
แผนระยะยาว ยังเน้น Asset-light model
แผนงานปี 2024-2027 บริษัทตั้งเป้าขยายกลุ่มธุรกิจโดยเพิ่มโรงแรมใหม่ 280 แห่ง จากเดิมมีอยู่กว่า 562 แห่ง และร้านอาหาร 1,500 ร้านสาขาใหม่ จากเดิมมีอยู่ราว 2,699 ร้านสาขา
โดยการขยายธุรกิจต่อไปในอนาคต จะมุ่งเน้นกลยุทธ์ด้านการใช้รูปแบบธุรกิจ Asset-light model ทำสัญญารับจ้างบริหารโรงแรม และการทำแฟรนไชส์ร้านอาหาร เพื่อการเติบโตแบบใช้เงินลงทุนน้อยที่สุด บริษัทตั้งเป้าขยายสัดส่วนของ Asset-light model ขยับอยู่ที่ 50% ของพอร์ตโรงแรมและร้านอาหารเปิดใหม่ ภายในกรอบระยะเวลาดังที่กล่าวข้างต้น
และวาง revenue growth อย่างน้อย 6-8% ต่อปี net profit 15-20% ต่อปี ตั้งงบลงทุนต่อปี 10,000-12,000 ล้านบาท ให้ความสำคัญกับการ Rebranding & Repositioning ทั้งกลุ่มโรงแรมและร้านอาหาร
คุณดิลลิป ราชากาเรีย กล่าวปิดท้าย “บริษัทเตรียมพร้อมก้าวสู่อีกปีที่แข็งแกร่งในปี 2025 โดยใช้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งโลเคชั่นถ่ายทำในเรื่องเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลสำคัญในไทย”
“นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวโรงแรมเชิงกลยุทธ์ในประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายการดำเนินงานในตลาดสำคัญที่มีการเติบโตสูง ตลอดจนการเติบโตของร้านอาหารผ่านนวัตกรรมของแบรนด์ การปรับรูปแบบร้านค้าให้มีความหลากหลาย และการขยายแฟรนไชส์”
–
