ความรักน่ะ ถึงจะบิดเบี้ยว และเปราะบางไปบ้าง แต่ก็สวยงามในตัวของมัน

ชีวิตก็เหมือนกัน

ยกให้เป็นซีรีส์เกาหลีน้ำดีแห่งปี 2025 ไปเลย กับเรื่อง “Melo Movie” หนังรักปนเศร้าที่ทำเอาผู้ชมยิ้มทั้งน้ำตา ฝีมือกำกับของโอชุงฮวาน จากเรื่อง My Love from the Star และนักเขียนอีนาอึน ผู้เขียนบท  Our Beloved Summer  ที่ได้พัคโบยองและชเวอูชิกมารับบทนำ

แม้ชื่อซีรีส์จะฟังดูเหมือนรักใจฟูของวัยรุ่น แต่จริง ๆ เป็นเหมือนหนัง coming of age ดี ๆ เรื่องหนึ่ง ที่บอกเล่ามุมมองความรักทั้งในมุมพ่อแม่ พี่ชาย คนรัก มิตรภาพ ที่แม้จะตั้งชื่อเรื่องว่า ‘หนังรัก’ แต่มันกลับทำให้เราสุขปนเศร้าเคล้าน้ำตา แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกว่า “ขอบคุณที่ผ่านมาได้อย่างดี และเธอจะผ่านมันไปได้อีกครั้ง”

5 ข้อคิดน่าประทับใจ ที่อยากให้ทุกคนอ่าน

1. ชีวิตคนเราเหมือนพลุ สว่างไสวที่สุดได้เพียงครั้งเดียว

เพราะฉะนั้น อย่ากลัวที่จะฝัน  ฝันอะไรก็ได้ตามใจคุณ อย่าเพิ่งไปคิดว่ามันยากแน่เลย หรือไม่มีทางเป็นไปได้  ลองลงมือทำอย่างถึงที่สุดดูก่อน  ต่อให้ไปไม่ถึงฝัน อย่างน้อยคุณก็จะไม่เสียใจที่เคยได้ทุ่มสุดชีวิตไปเพื่อมันแล้ว

และโปรดจำไว้ว่า เราทุกคนมีวันที่เปล่งประกายที่สุดรออยู่ แค่ต้องรอจังหวะ

2. ความรักที่มากเกินไป จะทำให้เราสูญเสียตัวตน

อย่าเอาทั้งความรัก ความหวัง ความภาคภูมิใจไปฝากฝังไว้กับคนอื่น เพราะเมื่อคนคนนั้นจากไป คุณจะไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งการรักตัวเอง อย่างเช่นที่ ซนจูอาพูดว่า “ฉันอยากทำทุกอย่างที่คิดว่าเขาจะชอบ ความรักของฉันมันเป็นแบบนั้นแหละ เพราะตอนนั้นรักฉันมันยิ่งใหญ่”

แปลว่า จูอาพยายามอย่างหนักที่จะเป็นคนรักที่คอยซัปพอร์ตชีจุน  จนต้องละทิ้งความฝันที่จะเป็นนักเขียนของตัวเองไป การรักเขาจนลืมรักตัวเอง สุดท้ายความรักที่ยิ่งใหญ่ก็สร้างบาดแผลที่ใหญ่ยิ่งได้เช่นกัน

อย่าทิ้งฝันของตัวเองเพื่อไปสร้างฝันให้ใคร เพราะสุดท้ายเมื่อเขาจากไปคุณจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าอย่างไม่น่าให้อภัย

3. รอยยิ้มไม่ได้มีค่ากว่ารอยน้ำตา

ไม่เป็นไรเลยถ้าคุณจะทรุดตัวลงนั่งร่ำไห้ คร่ำครวญ เสียใจกับชีวิตบ้าง มันโอเคนะที่คุณจะมีวันที่รู้สึกไม่โอเค น้ำตาไม่ได้เป็นเครื่องหมายของคนอ่อนแอ มันเป็นเพียงทางผ่านของการเติบโต ลองปล่อยให้ตัวเองร้องไห้จนน้ำในตาระเหยหมด วันนั้นคุณจะพบว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นอีกหนึ่งก้าว

ชอบคำพูดหนึ่งของแม่มูบีที่พูดกับพระเอกว่า “รู้ไหม คนดีน่ะป่วยง่าย” มันทำให้พระเอกหยุดชะงักกับคำพูดนั้น หมายถึงว่า บางทีการพยายามยิ้มและหัวเราะแม้ในวันที่แย่ของพระเอก มันไม่ได้แปลว่าเขาแบกรับทุกอย่างได้ดี แต่มันเป็นเพียงการเก็บซ่อนความทุกข์ไว้ ไม่ให้ใครเห็นเข้าเท่านั้นเอง การเป็นคนดีแสร้งยิ้มว่าตัวเองยังไหวไม่นานมันจะทำร้ายตัวเขาเอง

4. ไม่ใช่เพียง ‘การเริ่ม’ ที่ต้องใช้ความกล้า  ‘การหยุด’ ก็เช่นกัน

หลายคนเข้าใจว่าการจะเริ่มทำอะไรสักอย่างต้องอาศัยพลังแรงใจ และความกล้าหาญอย่างมาก จริง ๆ แล้วไม่ได้มีแค่การเริ่มต้นหรอก การหยุดก็ต้องใช้ความกล้าเช่นกัน

ตอนหนึ่งที่พระเอกได้นั่งคุยกับผู้กำกับซึ่งทำหนังออกมาได้ไม่ดี เขาพูดกับพระเอกว่า “มีคำวิจารณ์มากมายว่าหนังฉันห่วยขนาดนั้นได้ไง ไม่ใช่แค่พวกเขาหรอกที่ตั้งคำถาม ฉันก็ถามตัวเองเหมือนกัน ว่าฉันทำหนังมานานขนาดนี้ แต่ยังไม่รู้ตัวอีกว่าตัวเองฝีมือแย่ขนาดไหน ฉันควรล้มเลิกแล้วไปทำอาชีพอื่นดูไหมนะ”

คำพูดนี้ฟังดูเหมือนคนขี้แพ้ แต่จริง ๆ สะท้อนชีวิตของใครหลายคนที่กำลังเผชิญความรู้สึกเดียวกันนี้ บางทีหากเราลองทำอะไรอย่างสุดความสามารถแล้ว ทุ่มเทซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้ามันยังออกมาไม่ดี การยอมแพ้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย

การรู้จักยอมแพ้ ในเวลาที่ควรยอมแพ้ ไม่ได้แปลว่าคุณแพ้

5. คำปลอบโยนไม่ได้มีเพียงคำว่า “ไม่เป็นไร”

ในบางเวลาคำปลอบโยนที่ดีที่สุดอาจเป็นการนั่งเป็นเพื่อนอยู่ข้าง ๆ ไม่พูดไม่จากันสักคำก็ไม่เป็นไร  หรือยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนบางให้ซับน้ำตา หรือบอกให้เขารู้ตัวว่า “เธอไม่ได้อยู่คนเดียวนะ ยังมีฉันอยู่” เพียงคำพูดง่าย ๆ เท่านี้ อาจปลดล็อกความหนักอึ้งในใจหลายพันที่เขาแบกไว้

และถ้าตอนนี้คุณเหนื่อยเกินไปก็ให้หยุดพักก่อน หรือต่อให้ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ก็ฝืนอยู่ต่ออีกหน่อย แค่วันเดียวก็ได้ แล้ววันพรุ่งนี้ก็ค่อยโลภขึ้นมาอีกนิดว่า ขออยู่ต่ออีกสองวัน วันหน้าก็เพิ่มเป็นสามวัน ไปเรื่อย ๆ ต้องมีสักวันที่คุณจะเจอสิ่งที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อมัน

ต่อให้หนังชีวิตของคุณตอนนี้จะเป็นหนังรักปนเศร้า หรือน้ำเน่าเกินบรรยาย หรือแอคชั่นบู๊กระหน่ำ ดราม่าน้ำตาแตก ต่อให้มันจะแย่แค่ไหน เชื่อสิว่าตอนจบมันจะ happy ending แน่นอน

ภาวนาให้เป็นเช่นนั้น


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer