Trend / หลังจากเจ็บใจอยู่นานที่ไล่ตามเบอร์ 1 และ 2 อย่าง Netflix และ Disney+ ในวงการวิดีโอสตรีมมิ่งไม่ทันเสียที ซ้ำร้ายระยะห่างก็ยิ่งกว้างขึ้น แต่แล้วในปี 2021 Prime Video ก็ผงาดขึ้นมาจนสองเบอร์ใหญ่ประมาทไม่ได้

สาเหตุที่ทำให้ตำแหน่งของ Prime Video ดีขึ้นอย่างมาก คือ Amazon ต้นสังกัดของ Prime Video ทุ่มเงิน 8,450 ล้านดอลลาร์ (ราว 284,000 ล้านบาท) ซื้อกิจการของ MGM ค่ายหนังที่กำลังขาดทุนท่ามกลางวิกฤตล็อกดาวน์ ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งระบบ ณ เวลานั้น

พระเอกของดีลนี้คือสิทธิ์ในการนำหนังสายลับ 007 ทุกภาคมาสตรีมบน Prime Video พร้อมด้วยคลังคอนเทนต์มหาศาล โดยเฉพาะภาพยนตร์ที่มีมากถึง 4,000 เรื่อง จนกล่าวได้ว่าแทบไม่ต้องกังวลเรื่องจุดอ่อนด้านปริมาณคอนเทนต์ในคลังอีกต่อไป

ล่าสุด Amazon เดินหน้าอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ เพราะสามารถกำหนดทิศทางของแฟรนไชส์หนังสายลับเรื่องดังที่สุดได้แล้ว

Amazon MGM บริษัทลูกของ Amazon ในธุรกิจบันเทิงและคอนเทนต์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังดีลเมื่อปี 2021 เผยว่า จากนี้บริษัทจะเป็นผู้ถือครองลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์ James Bond 007 ทั้งหมด หลังจาก Eon Productions ซึ่งครองลิขสิทธิ์มาตั้งแต่หนังภาคแรก ตัดสินใจขายลิขสิทธิ์ให้

พระเอกของดีลนี้คือสิทธิ์ในการนำหนังสายลับ 007 ทุกภาคมาสตรีมบน Prime Video พร้อมด้วยคลังคอนเทนต์มหาศาล โดยเฉพาะภาพยนตร์ที่มีมากถึง 4,000 เรื่อง จนกล่าวได้ว่าแทบไม่ต้องกังวลเรื่องจุดอ่อนด้านปริมาณคอนเทนต์ในคลังอีกต่อไป

ล่าสุด Amazon เดินหน้าอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมคอนเทนต์ เพราะสามารถกำหนดทิศทางของแฟรนไชส์หนังสายลับเรื่องดังที่สุดได้แล้ว

Amazon MGM บริษัทลูกของ Amazon ในธุรกิจบันเทิงและคอนเทนต์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังดีลเมื่อปี 2021 เผยว่า จากนี้บริษัทจะเป็นผู้ถือครองลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์ James Bond 007 ทั้งหมด หลังจาก Eon Productions ซึ่งครองลิขสิทธิ์มาตั้งแต่หนังภาคแรก ตัดสินใจขายลิขสิทธิ์ให้

นี่ถือเป็นข่าวใหญ่ เพราะจากนี้ Amazon MGM มีสิทธิ์และอำนาจเต็มที่ในการกำหนดทิศทางของภาพยนตร์ 007 ดังนั้น สิ่งแรก ๆ ที่จะตามมาคือภาคใหม่ของ 007 ซึ่งจะสานต่อจาก No Time To Die ที่ออกฉายในปี 2021

และคงจะได้รู้กันอีกไม่นานว่าใครจะเป็นเจ้าของรหัส 007 คนถัดไป เพราะ แดเนียล เครก ผู้รับบทนี้ตลอด 5 ภาคที่ผ่านมา ระหว่างปี 2006-2021 ได้ประกาศถอนตัวจากบทไปแล้ว

ซึ่งผู้ที่คาดว่าจะได้รับบทเป็น เจมส์ บอนด์ คนใหม่ มีตั้งแต่นักแสดงผิวสีขวัญใจ Gen Z, นักแสดงหนุ่มเชื้อสายเอเชีย, นักแสดงอเมริกันหน้าคม ไปจนถึงนักแสดงหญิงขวัญใจกลุ่ม LGBTQ+

อีกประเด็นที่ต้องจับตามองคือ การที่ 007 ย้ายมาอยู่ภายใต้สังกัด Amazon MGM หลังจากอยู่กับ Eon Productions มานานถึง 59 ปี ซึ่งอาจนำไปสู่การแตกเส้นเรื่องใหม่ ๆ และการขยายจักรวาลคอนเทนต์ของ 007 ในลักษณะเดียวกับที่ Disney สร้างทั้งภาพยนตร์ภาคต่อและซีรีส์ Star Wars ออกมานับไม่ถ้วน หลังจากเข้าซื้อกิจการของ จอร์จ ลูคัส

และ Disney ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กับการผลิตทั้งภาพยนตร์และซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่ หลังจากเข้าซื้อ Marvel Studios

ดังนั้น สิ่งที่จะได้เห็นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าคือ ภาพยนตร์ภาคต่อและซีรีส์ของ 007 ซึ่งน่าจะมีทั้งเรื่องราวที่นำโดยตัวละครเอกอย่าง เจมส์ บอนด์ รวมถึงตัวละครสำคัญอย่าง เอ็ม และ มันนี่เพนนี ไปจนถึงบรรดาตัวร้ายที่เคยปรากฏในภาพยนตร์ภาคก่อน ๆ

หากกระแสตอบรับดี นอกจากจะช่วยให้ 007 กลับมาทันสมัยและสามารถขยายเรื่องราวออกไปได้แล้ว ยังช่วยลดปัญหาการต้องรอภาคใหม่เป็นเวลานานอีกด้วย

ทางด้าน เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon และหนึ่งในมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของโลก แสดงความปลาบปลื้มที่ Amazon MGM สามารถกำหนดทิศทางของแฟรนไชส์ 007 ได้แล้ว โดยเขาได้โพสต์ผ่าน X ว่า “มาช่วยคิดกันหน่อยว่าอยากได้ใครมาเป็นบอนด์คนต่อไป”

สำหรับภาพยนตร์ 007 เริ่มต้นครั้งแรกในปี 1962 กับภาค Dr. No หลังจากที่ อัลเบิร์ต บร็อคโคลี และ แฮร์รี ซอลต์ซแมน ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Eon Productions ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อนำนิยายสายลับของ เอียน เฟลมมิง มาสร้างเป็นภาพยนตร์

แม้จะมีเสียงทัดทานและคำปรามาสจากคนในวงการภาพยนตร์ว่า 007 เป็นภาพยนตร์ที่ดู “อังกฤษเกินไป” และเต็มไปด้วยความเซ็กซี่รวมถึงการผจญภัยเพ้อฝันของผู้ชายมากเกินไป ไม่น่าจะไปได้ไกล แต่ทั้ง อัลเบิร์ต บร็อคโคลี และ แฮร์รี ซอลต์ซแมน ก็มั่นใจว่าภาพยนตร์ชุดนี้มีอนาคต

ปรากฏว่าทั้งคู่คิดถูก หลักฐานคือ 007 มีออกมาแล้วถึง 25 ภาค พร้อมด้วยนักแสดงชาย 7 คน ที่เคยมารับบท เจมส์ บอนด์ ท่ามกลางเหล่าสาวบอนด์และตัวร้ายอีกนับไม่ถ้วน และทั้ง 25 ภาค ทำรายได้รวมกันถึง 19,700 ล้านดอลลาร์ (ราว 663,000 ล้านบาท) จนกลายเป็นภาพยนตร์สายลับที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก และยังประสบความสำเร็จสูงสุด

แม้แต่ 8 ภาคหลังสุด (เริ่มจาก Tomorrow Never Dies) ซึ่ง บาร์บารา บร็อคโคลี และ ไมเคิล จี. วิลสัน ลูกสาวและลูกบุญธรรมของ อัลเบิร์ต บร็อคโคลี จะเข้ามาดูแลต่อ หลังจากที่พวกเขาขึ้นเป็นผู้บริหารของ Eon Productions หลังการเสียชีวิตของ อัลเบิร์ต บร็อคโคลี ก็ยังคงไปได้สวย

แต่ในที่สุด ทั้งคู่ก็ตัดสินใจปล่อยมือ และส่งต่อแฟรนไชส์สายลับระดับตำนานนี้ให้กับ Amazon MGM เพื่อนำพาภาพยนตร์ 007 ไปสู่ทิศทางใหม่ ๆ /cnn, theguardain, bbc, wikipedia, japantoday


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer