แม้ใน ตลาดเครื่องฟอกอากาศ 2561 จะเติบโตด้านมูลค่าโดยเฉลี่ย 2ดิจิ ในทุกๆ ปี แต่ในปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่ตลาดเครื่องฟอกอากาศเติบโตด้านมูลค่าสูงสุด ด้วยการเติบโตมากถึง 18% และเติบโตด้านจำนวนเครื่อง 12%
ซึ่งการเติบโตของมูลค่าเครื่องฟอกอากาศส่วนหนึ่งมาจากข่าวฝุ่นละออง PM2.5 ที่ปกคลุมอยู่ในกรุงเทพ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่กระตุ้นให้คนไทยเห็นความสำคัญ ของเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพในการฟอกอากาศฝุ่นที่มีขนาดเล็กมากขึ้น
ส่วนตลาดเครื่องฟอกอากาศระดับแมสที่มีระดับราคาต่ำกว่า 10,000 บาท เป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากเครื่องปรับอากาศที่มีระบบฟอกอากาศในตัว ทำให้บางบ้านที่ซื้อเครื่องปรับอากาศประเภทนี้ มองว่าการซื้อเครื่องฟอกอากาศเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ตัวเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และพื้นที่ในการวางเครื่องฟอกอากาศ
โดยการแข่งขันในตลาดนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะยังไม่เน้นการโฆษณาในรูปแบบ Above the line ทุ่มเงินมหาศาลกระตุ้นตลาด เพราะแบรนด์ส่วนใหญ่มองว่าเป็นตลาดที่ยังเล็ก คนไทยครอบครองเครื่องฟอกอากาศไม่ถึง 1% ของครัวเรือนทั้งประเทศ และยังเป็นตลาดที่เล็กเมื่อเทียบกับตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ารวมมูลค่า 23,000 ล้านบาท เพราะตลาดนี้ยังกระจุกตัวอยู่ในหัวเมืองใหญ่เท่านั้น
การแข่งขันในตลาดเครื่องฟอกอากาศจึงให้ความสำคัญไปยังการให้ข้อมูลของเครื่องฟอกอากาศ ผ่านเว็บไซต์ของแบรนด์ และพนักงานขายตามจุดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อให้ข้อมูลและเชียร์อัพสินค้าให้กับแบรนด์ตัวเอง และบางแบรนด์เข้าไปทำตลาดในโรงพยาบาล สร้างความน่าเชื่อถือ เป็นต้น
เมื่อตลาดเครื่องฟอกอากาศไม่ได้แข่งขันกันรุนแรงมากนักในด้านโฆษณาสร้าง Brand Awareness โอกาสของเครื่องฟอกอากาศแบรนด์ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย จึงมีโอกาสสูงที่จะได้ส่วนแบ่งตลาดกลับไปจำนวนมากถ้าเข้าให้ถูกจุด
ตลาดเครื่องฟอกอากาศ 2561 พรีเมียมคือโอกาส
ล่าสุดแอลจีเข้ามาลงเล่นตลาดเครื่องฟอกอากาศพรีเมียม ด้วยการเปิดตัวเครื่องฟอกอากาศ LG PuriCare ในราคาเ 54,900 บาทต่อเครื่อง เจาะกลุ่มลูกค้าครอบครัวระดับพรีเมียม เพื่อหวังส่วนแบ่งตลาด 40% ในตลาดพรีเมียม 50 ล้านบาทในปีนี้
สิ่งที่ทำให้ นิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) มั่นใจว่าในระยะเวลาเพียง 7 เดือนต่อจากนี้ แอลจี จะสามารถไต่ระดับส่วนแบ่งตลาดแซงหน้าเบอร์หนึ่งที่มีส่วนแบ่งตลาดเกินครึ่ง ในตลาดเครื่องฟอกอากาศระดับพรีเมียมได้นั้นมาจากกลยุทธ์ 4 ประการได้แก่
1.ประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศที่ดักจับฝุ่นละอองได้เล็กสุดถึง 1.0 ไมครอน หรือ1.0PM มี ฟอกอากาศได้ 360 องศา และมีระบบ IoT ควบคุมการทำงานผ่านแอปพลิเคชั่นของแอลจี
2.สร้างกระแส ผ่านออนไลน์ไวรัล ด้วยการให้บล็อกเกอร์เขียนรีวิวในประสิทธิภาพในการทำงาน และ ความน่าเชื่อถือในแบรนด์ด้วยการร่วมมือกับโรงพยาบาลระดับไฮเอนด์ แนะนำสาธิตการทำงานของเครื่องฟอกอากาศให้กับผู้สนใจ
3.อัพเดทข้อมูลระบบการทำงาน และรีวิวในเว็บไซต์ ทั้งในและต่างประเทศ เพราะกลุ่มผู้บริโภคระดับไฮเอนด์จะนิยมหาข้อมูลจากเว็บไซต์ในต่างประเทศ ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า
4.ร่วมกับโครงการอสังหาฯ นำเสนอเครื่องฟอกอากาศแอลจี ในรูปแบบ Total Heath Solution ร่วมกับสินค้าอื่นๆ ของแอลจี เช่น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องดูดฝุ่น เครื่องซักผ้าเป็นต้น
เพราะการเข้ามาในตลาดเครื่องฟอกอากาศพรีเมียมของแอลจี คือหนึ่งในกลยุทธ์สร้างภาพลักษณ์ และเติมเต็มสินค้าในรูปแบบโทเทิล เฮลท์ โซลูชันที่แอลจีต้องการไป
แม้แอลจีจะเปิดตลาดกลยุทธ์สร้างความเป็นหนึ่ง 4 ประการนี้
แต่เชื่อว่าการขึ้นมาเป็นหนึ่งในตลาดเครื่องฟอกอากาศพรีเมียมก็ใช่ว่าจะง่าย เพราะในตลาดนี้ มีคู่แข่งหลักอย่าง Blue Air ที่เขามาทำตลาดในประเทศไทยโดยแสงชัยแอร์ควอลิตี้ มานานพอสมควร และสามารถกรองกรองฝุ่นขนาดเล็กเหมือนกับแอลจี
เมื่อเทียบกับการทำตลาดมายาวนานกว่าถือว่า Blue Air เป็นต่อเรื่องฐานลูกค้าเดิมที่เคยใช้งาน ที่มาพร้อมกับรางวัลการันตีจำนวนมาก แม้ Blue Air จะไม่ทำตลาดหวือหวาก็ตาม แต่ก็กระจายสินค้าตามรีเทลชั้นนำครอบคลุมตามหัวเมืองหลัก
ส่วนแอลจี เป็นต่อเรื่องความแมสของแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากกว่า
เกมนี้คงต้องวัดผลปลายปีว่า ตลาดเครื่องฟอกอากาศพรีเมียม จะเป็นไปตามที่แอลจีวางไว้หรือไม่
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ