ปี 2567 เป็นปีที่ท้าทายสำหรับค้าปลีกไทย ปี 2568 เป็นปีที่ท้าทายยิ่งกว่า ด้วยแรงสั่นสะเทือนจากกำแพงภาษีทรัมป์ ที่เรียกเก็บจากประเทศต่าง ๆ ที่นำสินค้าส่งไปยังสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงจนเห็นได้ชัด โดยเฉพาะสินค้านำเข้าจากประเทศจีน คู่ปรับทางการค้าคนสำคัญ
ภายใต้การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ ได้เป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญของผู้ค้าปลีกไทย จากสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาแข่งขันอย่างรุนแรง ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SME ที่มีมากกว่า 3.3 ล้านราย ต้องเผชิญความเสี่ยงทั้งทางตรงและทางอ้อม
ซึ่งผลกระทบทางตรงมาจากการแข่งขันด้านราคาผ่านสินค้านำเข้าราคาถูกและด้อยคุณภาพ ที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยผ่านทางอีคอมเมิร์ซและผู้ประกอบการรายย่อยข้ามแดน โดยสินค้าคุณภาพต่ำที่นิยมนำเข้ามาจากจีน เช่นอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า, Accessory
ส่วนผลกระทบทางอ้อมมาจากการเห็นประเทศไทยเป็นประเทศทางผ่านนำสินค้าส่งขายไปยังสหรัฐฯ เพื่อลดต้นทุนด้านกำแพงภาษีสหรัฐฯ ผ่านบริษัทนอมินี และนำรายได้กลับเข้าประเทศตัวเอง ก่อนที่จะทิ้งดุลการค้าให้เป็นของประเทศไทย
โดยที่ผ่านมาอ้างอิงจาก หอการค้าไทย-จีน พบว่าปี 2562- สิงหาคม 2567 ประเทศไทยมีมูลค่าการนำเข้าจากจีน
ปี 2562 มูลค่านำเข้า 50,270 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.68 ล้านล้านบาท)
ปี 2563 มูลค่านำเข้า 49,800 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.66 ล้านล้านบาท)
ปี 2564 มูลค่านำเข้า 66,553 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.22 ล้านล้านบาท)
ปี 2565 มูลค่านำเข้า 70,766 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.36 ล้านล้านบาท)
ปี 2566 มูลค่านำเข้า 70,800 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.36 ล้านล้านบาท)
มกราคม-สิงหาคม 2567 มูลค่านำเข้า 55,036 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.83 ล้านล้านบาท)
ไม่รวมโครงการที่นักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยที่มีมากถึง 430 โครงการในปี 2566
การทะลักเข้ามาของสินค้าจีนในประเทศไทย มาจากการผลิตที่ Oversupply ที่ผลักดันให้จีนต้องระบายสินค้าออกจำหน่ายไปยังประเทศต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก
ภายใต้ความท้าทายของการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนในไทย ณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย แนะนำว่าผู้ประกอบการค้าปลีกสามารถแข่งขันกับสินค้าจีนผ่าน Value Add ต่าง ๆ ที่เพิ่มเข้าไปในสินค้า แทนการแข่งขันด้านราคาได้ รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาส่งเสริมธุรกิจในรูปแบบต่าง ๆ

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 สมาคมผู้ค้าปลีกไทย มองว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้ค้าปลีกไทยเผชิญกับความท้าทายยิ่งขึ้นจากสินค้าจีนที่ตบเท้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ทำให้สมาคมฯ วางแนวทางในการสานต่อการตั้งรับและรุกกลับกับสินค้าจีน
ในเชิงตั้งรับสินค้าจีน โดยเฉพาะสินค้าถูกและด้อยคุณภาพ ด้วยการตรวจสอบสินค้านำเข้า 100% แทนการสุ่มตรวจ ด้วยระบบเทคโนโลยี เช่น การมีมาตรฐาน มอก. และฉลากต้องเป็นภาษาไทย
รวมถึงการปราบปรามธุรกิจนอมินีที่สวมสิทธิ์คนไทยในทุกระดับ และหลายรูปแบบ เช่น ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และโรงแรมศูนย์เหรียญ เพื่อยับยั้งการรั่วไหลของเม็ดเงิน และผลักดันให้รายได้จากภาคค้าปลีกหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจและผู้ประกอบการไทย
และป้องกันการสวมสิทธิ์ผลิตสินค้าที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกไปสหรัฐฯ (Re-Export) ส่งผลให้ไทยเกินดุลสหรัฐ
ส่วนในเชิงรุกกลับได้สานต่อแนวทางการเข้ามาของสินค้าจีน ได้แก่
– จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT 7% กับสินค้าออนไลน์นำเข้าที่มีมูลค่าตั้งแต่บาทแรก (จากเดิมสินค้าไม่เกิน 1,500 บาทได้รับการยกเว้นภาษี) โดยออกเป็นกฎหมายบังคับใช้เป็นการถาวร
– ปรับปรุงกฎหมายที่มีข้อจำกัดและไม่ครอบคลุมของ Ecommerce หรือการซื้อขายสินค้าออนไลน์ โดยเฉพาะสินค้าไม่ได้มาตรฐานราคาถูกที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มข้ามชาติ เพื่อปกป้องผู้บริโภคคนไทย เช่น จัดให้มีระบบเชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติ (API) กับหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
– ออกมาตรการรับมือกับสถานการณ์สินค้าจากจีนที่ทะลักเข้าสู่ตลาดไทย จากปัญหาการผลิตสินค้าเกินความต้องการภายในประเทศจีน (Oversupply) ซึ่งจีนจำเป็นต้องระบายสินค้าสู่ต่างประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยจนถึงขั้นต้องปิดกิจการหรือมีการเลิกจ้างแรงงาน
นอกเหนือจากความท้าทายของการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นจากภาษีทรัมป์ สมาคมผู้ค้าปลีกไทยยังมองว่ากำแพงภาษีใหม่ที่ทรัมป์เรียกเก็บจากประเทศต่างๆ รวมถึงไทยที่ประสบกับกำแพงภาษีมากถึง 37% ถึงแม้จะมีมาตรการเลื่อนเก็บภาษีออกไป 90 วัน เพื่อรอการเจรจาจากผู้นำประเทศ
และถ้าการเจรจาไม่เป็นผลจะทำให้การส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถึง 8.8 แสนล้านบาทได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้
บนต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น จากการปรับขึ้นค่าแรง ต้นทุนโลจิสติกส์ ค่าพลังงานและสาธารณูปโภค
ที่สำคัญคือกำลังซื้อหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด จากรายได้ของชนชั้นกลางที่ลดลง และความไม่มั่นใจของผู้บริโภค
ที่ส่วนหนึ่งส่งผลกระทบด้านยอดขายที่ลดลงเฉลี่ยเหลือเพียง 3.4% ในช่วงปี 2567-2568 ทั้งที่ผ่านมาในปี 2565-2566 เติบโตถึง 5.9%
อย่างไรก็ดี สมาคมผู้ค้าปลีกมองเทรนด์ของปีนี้ประกอบด้วย
1. Convergence Commerce as the New Standard จากแนวทางการเชื่อมต่อประสบการณ์ของผู้บริโภคระหว่าง Offline และ Online ตลอดจนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้เป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงร้านค้าใหญ่และย่อยให้เป็น Ecosystem เดียวกัน และเมื่อเกิดการสั่งซื้อสินค้าแพลตฟอร์มข้อมูลไปยังผู้ผลิตโดยตรง
2. AI Personalization Engine จาก Big Data และ AI ช่วยส่งเสริมให้สินค้าและบริการถูกนำเสนอถึงผู้บริโภคเฉพาะโดยที่ไม่รู้ตัวในโลกออนไลน์ ผ่าน Feed ต่าง ๆ ที่ AI วิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภคในขณะนั้นจาก Algorithm ที่เก็บมาอย่างต่อเนื่อง
3. Sustainable Retail กลายเป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้การจับตามอง โดยเฉพาะยุโรปให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ส่วนในประเทศไทย ผู้บริโภคยุคใหม่โดยเฉพาะ Gen Z ให้ความสนใจแบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนมากขึ้น
–
