ลองจินตนาการว่าคุณไม่ใช่นักลงทุน ไม่มีพื้นฐานการเงิน แต่สร้างสูตรคณิตศาสตร์ที่ทำผลตอบแทนเฉลี่ย 39% ต่อปีนานเกือบ 30 ปี จนกลายเป็นเจ้าของกองทุนที่ทำกำไรสูงสุดในประวัติศาสตร์ เหนือกว่าแม้แต่ Warren Buffett เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงกับ Jim Simons ผู้เปลี่ยนคณิตศาสตร์ให้กลายเป็นเครื่องจักรผลิตเงิน ผ่านกองทุนปริศนา Renaissance Technologies
ในขณะที่นักลงทุนจำนวนมากใช้สัญชาตญาณและวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน Simons กลับใช้ข้อมูลดิบ อัลกอริทึม และโมเดลคณิตศาสตร์ สแกนหาสัญญาณการเทรดนับล้านครั้งต่อวัน โดยไม่เคยอ่านงบการเงินแม้แต่ครั้งเดียว ผลลัพธ์คือ Medallion Fund ซึ่งสร้างผลตอบแทนมหาศาลจนถูกยกให้เป็น “เวทมนตร์ทางการเงิน”
Jim Simons คือใคร

จากศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ สู่ผู้จัดการกองทุนที่ทำผลตอบแทนดีที่สุดในโลก Simons ไม่เคยเป็นนักการเงินสายวอลล์สตรีท แต่เป็นอัจฉริยะผู้ใช้คณิตศาสตร์เอาชนะตลาดหุ้น โดยไม่ให้สัมภาษณ์ ไม่ปรากฏตัว และไม่รับนักลงทุนทั่วไป
จากนักวิชาการสู่ผู้ถอดรหัสตลาด
Simons ละทิ้งอาชีพสายวิชาการเมื่ออายุ 40 เพื่อมาก่อตั้ง Renaissance Technologies ซึ่งใช้เวลาเกือบสิบปีทดลองและพัฒนาโมเดลการเทรด จนเปิดตัว Medallion Fund ในปี 1988 และสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 66% ต่อปี (ก่อนหักค่าธรรมเนียม) โดยไม่เคยขาดทุนเลยแม้แต่ปีเดียว

Simons เกิดปี 1938 จบปริญญาตรีจาก MIT และเอกจาก Berkeley ก่อนจะทำงานกับ NSA ในฐานะนักถอดรหัส และมีผลงานร่วม Chern-Simons form ที่เป็นรากฐานฟิสิกส์ควอนตัม แม้จะอยู่สายวิชาการ แต่เขาสนใจการหาเงินเพื่อความเป็นอิสระทางความคิด
ในวัย 20 เขาลงทุนเล็ก ๆ จากเงินขวัญถุงแต่งงาน และแม้จะพักไป 30 ปี เขายังคงลงทุนในธุรกิจเพื่อนร่วมชั้นที่ต่อมากลายเป็นทุนตั้งต้นของ Renaissance
ช่วงปลายทศวรรษ 1970 เขาก่อตั้งบริษัท Monemetrics ก่อนเปลี่ยนเป็น Renaissance Technologies ในปี 1982 และเริ่มใช้โมเดลเชิงคณิตศาสตร์ค้นหารูปแบบในตลาด
กระบวนการ 3 ขั้นตอนของ RenTech
- ค้นหารูปแบบผิดปกติจากข้อมูล
- ตรวจสอบด้วยสถิติ
- วิเคราะห์เชิงพฤติกรรมตลาด
รูปแบบเหล่านี้ถูกแปลงเป็นกลยุทธ์ เช่น mean-reversion, seasonal effect, trader habits และ economic release reaction
Medallion Fund เริ่มต้นที่ 20 ล้านดอลลาร์ในปี 1988 และสร้างผลตอบแทนทะลุ +78% ภายในไม่กี่ปี จนเลิกรับเงินจากคนนอกในปี 1993 และขึ้นค่าธรรมเนียมเป็น 5/44 ซึ่งยังมีคนแห่ลงทุนเพราะผลตอบแทนล้นหลาม
การเปลี่ยนผ่านสำคัญเกิดขึ้นเมื่อจ้างทีมวิจัยจาก IBM เช่น Rob Mercer และ Peter Brown ทำให้ขยายการเทรดได้มหาศาล ทั้งที่อัตราความแม่นยำเพียง 50.75% แต่บริหารความเสี่ยงจนสร้างผลตอบแทนมหาศาล
Medallion Fund ห้องทดลองลับของโลกการเงิน
Medallion Fund คือศูนย์กลางนวัตกรรมที่เต็มไปด้วยนักคณิตศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ กลยุทธ์ของกองทุนใช้ machine learning, statistical arbitrage และ time-series prediction เทรดในเสี้ยววินาที และสร้างผลตอบแทน 66% ต่อปี (ก่อนหัก) และ 39% หลังหักค่าธรรมเนียมแบบไม่เคยขาดทุนแม้แต่ปีเดียว
เบื้องหลังความลับ
Renaissance ไม่จ้างวอลล์สตรีท แต่จ้างนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ และนักถอดรหัส พวกเขาไม่เปิดเผยพอร์ต ไม่รายงานผล ไม่มีใครรู้ว่าถืออะไร และพนักงานต้องเซ็นสัญญาปิดปากตลอดชีวิต
Simons เชื่อว่าสัญชาตญาณคือศัตรูของความแม่นยำ ทุกการเทรดจึงดำเนินด้วยข้อมูลเท่านั้น
กองทัพโมเดลคณิตศาสตร์
Renaissance ไม่ได้ใช้แค่โมเดลเดียว แต่ใช้อัลกอริทึมหลายพันแบบเทรดพร้อมกัน ทั้งในตลาดนิ่งและผันผวน แต่ละโมเดลเก็บกำไรเล็ก ๆ วันละนับหมื่นครั้ง และระบบสามารถปรับลดหรือเพิ่มน้ำหนักของโมเดลแบบอัตโนมัติได้ตลอดเวลา
พวกเขาสร้างระบบที่เรียนรู้ได้เอง ใช้ time-series, machine learning, probability และ game theory ในการคาดการณ์พฤติกรรมตลาดแบบเสี้ยววินาที
เมื่อคณิตศาสตร์ปะทะ VI
Jim Simons และ Warren Buffett คือสองขั้วของโลกการลงทุน Buffett ใช้หลัก VI ยึดมั่นในคุณค่าธุรกิจ ส่วน Simons ใช้ข้อมูลล้วน ๆ ผ่านอัลกอริทึมซึ่งไม่มีอารมณ์ ไม่โลภ ไม่กลัว และแม่นยำตามสมการ
แต่ทั้งคู่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ “วินัย” และการยึดมั่นในระบบคิดที่สร้างผลลัพธ์ได้แม้ในภาวะตลาดผันผวนที่สุด

Medallion Fund กองทุนที่แม้มีเงินก็ลงทุนไม่ได้
แม้คุณจะมีเงินพันล้านก็ไม่สามารถลงทุนใน Medallion Fund ได้ เพราะกองทุนนี้สงวนไว้ให้เฉพาะพนักงานของ Renaissance เท่านั้น ด้วยเหตุผลว่าเงินมากเกินไปอาจทำให้กลยุทธ์สูญเสียความแม่นยำ
Renaissance จึงจำกัดขนาดกองทุนไว้ที่ประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์ และคืนเงินนักลงทุนภายนอกตั้งแต่ปี 2005 เพื่อรักษาเสถียรภาพในการทำกำไร
Jim Simons เคยพูดติดตลกว่า “เราไม่ต้องการเงินจากใคร เพราะเราไม่มีปัญหาเรื่องเงิน” ซึ่งสะท้อนความมั่นใจในระบบคณิตศาสตร์ของเขา
เรื่อง : ณัฐศกรณ์ แสงลับ

