ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจไทยที่ได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นภาคการส่งออกที่ซบเซา นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ยังไม่ชัดเจน และความผันผวนของตลาดโลก
“กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์” ประกาศเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเสนอกลยุทธ์ใหม่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายในการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคที่ให้ความสำคัญกับมิติ ESG (Environmental, Social, Governance)
นายฮิโรทากะ คุโรกิ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เผยว่า
“แม้เศรษฐกิจไทยจะเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง แต่กรุงศรียังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนลูกค้าและผู้ประกอบการไทยให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยเฉพาะในภาคการส่งออกและการค้าระหว่างประเทศที่ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย”
.
4 กลยุทธ์หลักของกรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ในปี 2568
- สนับสนุนผลิตภัณฑ์ ESG อย่างเต็มที่
- มุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เชื่อมโยงกับ ESG อย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกรรมอนุพันธ์ด้านอัตราดอกเบี้ย ESG-linked Interest Rate Derivatives และ ESG-linked FX ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- ขยายธุรกรรมสกุลเงินเกิดใหม่ (Emerging Currency)
- ขยายความสามารถการทำธุรกรรมในสกุลเงินใหม่ๆ เช่น เดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (AED) และเปโซเม็กซิโก (MXN) เพื่อเพิ่มทางเลือกและอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่มีการค้ากับตะวันออกกลางและอเมริกาเหนือ
- โดยในปีที่ผ่านมาการทำธุรกรรมสกุลเงินเกิดใหม่ของธนาคารเพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
- การพัฒนาช่องทางดิจิทัลที่ทันสมัย
- เดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่าง FX@Krungsri ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FX) ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลสูงถึง 26% ของธุรกรรม FX ทั้งหมดที่สามารถซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
- มุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
- เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ไม่จำกัดเฉพาะผลิตภัณฑ์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย แต่ยังรวมถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย เช่น สัญญาซื้อขายตราสารหนี้ล่วงหน้า (Bond Forward) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้านตลาดและเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกค้าและนักลงทุน
.
แนวโน้มเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568
กรุงศรีคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะมีความผันผวนสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าเล็กน้อยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ระดับ 31.75-34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% จากระดับปัจจุบันที่ 1.75% เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจท่ามกลางความเสี่ยงที่หลากหลาย
นอกจากนี้ สินทรัพย์ของสหรัฐฯ กลายเป็นที่ดึงดูดใจน้อยลงจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจต่างๆ และแม้ว่าจะมีกระแสเงินทุนบางส่วนไหลเข้ามายังไทยในช่วงแรก แต่การเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นยังสะท้อนถึงการขายสุทธิ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้ไทยจะมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ไม่เสี่ยงต่อการล้มละลาย และมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูง แต่ในแง่ของการเติบโต ไทยยังคงต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
ส่วนแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่าลงในยุค “ทรัมป์ 2.0” เนื่องจากวงจรเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงชะลอตัว และนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยลงอีก รวมทั้งแผนการคลังของสหรัฐฯ ที่กำลังเพิ่มภาระหนี้สิน ขณะที่คู่ค้าหลักอย่างจีน หันมาเน้นการเติบโตเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากภาคส่งออก นอกจากนี้นักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่นจากนโยบายที่สุดโต่งของสหรัฐฯ ส่งผลให้เงินทุนเริ่มเคลื่อนย้ายไปยังตลาดตราสารหนี้ที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่นและยุโรป
นี่คือก้าวสำคัญของกรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ ที่แสดงถึงความพร้อมในการปรับตัวอย่างรวดเร็วและสนับสนุนลูกค้าทุกกลุ่มธุรกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนในปี 2568
