บริษัท ไทยกูลิโกะ จำกัด ประกาศเรื่องการยุติการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไอศกรีมในประเทศไทย ระบุว่า 
ไทยถือเป็นประเทศแรกที่กูลิโกะตั้งบริษัทจำหน่ายไอศกรีมภายใต้แบรนด์ตัวเองนอกประเทศญี่ปุ่น นั่นเพราะว่าศักยภาพของตลาดไอศกรีมประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
ตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทยมีมูลค่าอยู่ที่ราว 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดแพ็กเกจ (หรือไอศกรีมที่จำหน่ายในตู้ไอศกรีมตามร้านค้า) ประมาณ 14,000-15,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตตามการขยายตัวของร้านสะดวกซื้อ และไอศกรีมที่เป็นอันแพ็คเกจ (Unpackage) เช่น แดรี่ควีน สเวนเซ่นส์ มูลค่าราว 10,000 ล้านบาท โดยมีปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของตลาดนี้คือสภาพอากาศเมืองไทยที่ร้อนอบอ้าว
อย่างไรก็ดี ในช่วงไม่ถึงปีที่ผ่านมา ตลาดไอศกรีมโดยเฉพาะอันแพ็กเกจมีการแข่งขันสูง เนื่องจากมีแบรนด์จีนต้นทุนต่ำเข้ามาทำตลาด รวมถึงช่องทางโมเดิร์นเทรดต่างก็หันมาขายไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในราคาที่จับต้องได้ 8-12 บาท ผ่านจุดขายของตน แม้กลุ่มอันแพ็คเกจจะไม่ได้เป็นคู่แข่งกับกลุ่มไอศกรีมตู้แช่โดยตรง แต่การมีผู้ลงเล่นในตลาดจำนวนมากก็ส่งผลกระทบให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น รวมถึงกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าได้
เพราะไอศกรีมเป็นสินค้าที่คนมักจะตัดสินใจซื้อหน้าร้าน ไม่ได้เป็นสินค้าที่ตั้งเป้าซื้อมาจากบ้าน จะเห็นว่าราคาของไอศกรีมในตู้แช่ค่อนข้างสูง อย่างของกูลิโกะที่โดยส่วนใหญ่เป็นไอศกรีมระดับพรีเมียม ราคาเฉลี่ยจึงสูง 30-60 บาท ขณะที่ไอศกรีมอันแพ็คเกจราคาเพียงหลักสิบต้น ๆ เป็นไปได้ว่าคนจึงหันไปซื้อสินค้าที่ราคาประหยัดกว่า อีกทั้งในตู้แช่เองก็มีเจ้าใหญ่อย่างเนสท์เล่และวอลล์ที่เคยครองพื้นที่ตู้แช่มาเป็นเวลานานที่ยากจะชิงพื้นที่ได้
ย้อนกลับไปเมื่อ 2559 หลังจากที่บริษัท ไทยกูลิโกะ จำกัด ได้เปิดตัวไอศกรีมกูลิโกะเข้าสู่ตลาดประเทศไทย ในช่วงแรกนั้นผลตอบรับถือว่าดีเกินคาด เพราะสร้างความฮือฮาให้กับตลาดอย่างมาก ผู้บริโภคคนไทยต่างตื่นเต้นที่จะได้รับประทานไอศกรีมแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นนี้ ทำให้เกิดการรีวิว บอกต่อ แชร์คอนเทนต์กันบนโซเชียลมีเดียกันเป็นวงกว้าง กระทั่งเกิดเป็นไวรัลที่ใคร ๆ ก็ไปตามหาไอศกรีมกูลิโกะจนสินค้าขาดตลาด
แต่ด้วยความที่ผลิตภัณฑ์ไอศกรีมของกูลิโกะประเทศไทยไม่ได้มีโรงงานผลิตเอง แต่เดิมได้ร่วมกับบริษัท จอมธนา จำกัด ให้ช่วยผลิตไอศกรีม และกระจายสินค้าให้ ช่วงหนึ่งก็เกิดปัญหากำลังการผลิตไม่พอทำให้กูลิโกะหายไปพักใหญ่ เมื่อกำลังการผลิตมีจำกัด การกระจายสินค้าในช่องทางจำหน่ายต่าง ๆ ก็น้อย ก่อนที่ในปี 2565 บริษัทจะเปลี่ยนมาเริ่มทำธุรกิจกับบริษัท ไมเนอร์ แดรี่ จำกัด
แม้จะวางจำหน่ายครอบคลุมช่องทาง Modern Trade และ Traditional Trade แล้วก็ตาม แต่ไอศกรีมกูลิโกะจำหน่ายอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล กับบางจังหวัดเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้คนต่างจังหวัดหาซื้อได้ยาก และในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเองก็ไม่ได้มีสินค้าครบทุกแบบทุกรสชาติเช่นกัน สินค้าบางอย่างมีเพียงบางสาขา ด้วยว่าโปรดักต์ออกแบบมาค่อนข้างชิ้นใหญ่กินพื้นที่ในตู้แช่ร้านสะดวกซื้อค่อนข้างมาก ทำให้มีข้อจำกัดในการวางสินค้า
เมื่อย้อนดูผลประกอบการบริษัท ไทย กูลิโกะ (ประเทศไทย) จำกัด พบว่า บริษัทขาดทุนต่อเนื่องสองปี ในปี 2565 เริ่มขาดทุน 1.3 ล้านบาท และในปีถัดมา ก็ขาดทุนไป 113 ล้านบาท เราจึงมองว่าการตัดลดบาง categories เป็นไปตามแผนของไทยกูลิโกะที่จะทำให้บริษัทกลับมาเฮลตี้อีกครั้ง
ย้อนดูผลประกอบการ 3 ปีหลัง ของ บริษัท ไทย กูลิโกะ (ประเทศไทย) จำกัด
ปี 2565 รายได้ 4,898 ล้านบาท ขาดทุน 1.3 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 3,498 ล้านบาท ขาดทุน 113 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 3,523 ล้านบาท กำไรสุทธิ 67 ล้านบาท
ที่มา : กรมพัฒนาธุรกิจ
อ้างอิง : BrandInside
