สถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารโดยรวมในปี 2568 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดร้านอาหารรวมอยู่ที่ประมาณ 646,000 ล้านบาท อัตราการเติบโตไม่มาก คาดเพิ่มขึ้น 2.8% จากปีก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นอัตราการขยายตัวที่ใกล้เคียงกับ GDP ของประเทศ
ขณะที่มูลค่าตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 20,000 กว่าล้านบาท และเป็นกลุ่มร้านอาหารที่เติบโตค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับร้านอาหารประเภทอื่น เนื่องจากคนไทยนิยมรับประทานอาหารญี่ปุ่นเป็นทุนเดิม ทั้งซูชิ ซาชิมิ ราเมง อูด้ง ยากินิกุ ล้วนเป็นอาหารญี่ปุ่นที่ได้รับความสนใจในไทยตลอดมา
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ซบเซา MAGURO Group ยังคงเดินหน้าเปิดตัวแบรนด์ใหม่เสริมแกร่งพอร์ตโฟลิโอ MAGURO Group แบรนด์ธุรกิจอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับ Premium Mass เปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ BINCHO ร้านอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับย่างถ่านบินโชตัน ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ 6 ภายใต้การบริหารของบริษัทฯ
คุณจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เล่าว่า เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ทีม Founder ไปศึกษาดูงานที่ต่างจังหวัดของญี่ปุ่น ได้สัมผัสประสบการณ์ร้านแบบโลคอลแท้ ที่ยังคงใช้เตาย่างอิโรริ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น แล้วย่างเนื้อสัตว์ด้วยถ่านบินโชตัน ซึ่งจะช่วยรักษาความฉ่ำชุ่มของเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดี พร้อมการเสิร์ฟแบบ Washoku จึงนำแรงบันดาลใจดังกล่าวมาเป็นคอนเซปต์ร้าน BINCHO
“ตั้งแต่ 7-8 ปีก่อน ที่ไอเดีย BINCHO เป็นแผนที่อยู่ในกระเป๋าเราตั้งแต่นั้น แต่เพิ่งจะได้จังหวะ เนื่องจากขณะนั้นยังอยู่ในช่วงปั้นแบรนด์ MAGURO ให้ติดตลาดก่อนเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง ล่วงเลยผ่านมาจนกระทั่งตกผลึกในช่วงปลายปีที่แล้วที่บริษัทกำลังเร่งสปีดขยายแบรนด์ลูก จึงได้เวลาลอนช์แบรนด์ BINCHO ออกมา”
วางตำแหน่งให้เป็นแบรนด์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเดินห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก จับกลุ่ม Mid Market ที่ชื่นชอบอาหารอร่อย แปลกใหม่ และคุ้มค่า ทั้งแบบทานเดี่ยวและครอบครัว อายุ 25-35 ปี ราคาอาหารเฉลี่ยต่อเซ็ต 300-400 บาท
ด้วยคอนเซปต์ร้านและ Story Brand ที่มีความเฉพาะตัวสูง ยังไร้ผู้เล่นโดยตรง ถือเป็น Blue Ocean บริษัทจึงมองว่า BINCHO เป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพจะเติบโตไปได้มาก ซึ่งในเฟสแรกตั้งเป้าขยายสาขาในระดับ 10-20 แห่งในเขตกรุงเทพฯ ก่อน จากนั้นจึงจะประเมินกระแสตอบรับอีกรอบ เพื่อสร้าง Database ดูแนวโน้มตลาดต่อไป
อย่างไรก็ดี ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาสภาพเศรษฐกิจได้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเข้าสู่ภาวะถดถอย คนจับจ่ายน้อยลง ซึ่ง MAGURO ยอมรับว่าร้านสาขาในกลางเมืองได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก เนื่องจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจใจกลางเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงินการท่องเที่ยวจึงชะงัก คนเมืองรัดเข็มขัด ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ทำให้ยอดขายของร้านในโซนกลางเมืองลดลง แต่สาขาที่อยู่นอกเมืองยังรักษาการเติบโตได้ดี เพราะเป็นลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงกว่า
ทั้งนี้ บริษัทมองว่าแนวโน้มในไตรมาสสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันจะฟื้นตัวได้ การท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก ด้านสงครามและเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนมีแนวโน้มจะหาข้อสรุปได้แล้ว
ครึ่งปีหลังบริษัทจึงเดินหน้าขยายร้านเปิดเพิ่มอีก 8 สาขา แบ่งเป็น BINCHO 1 สาขา, MAGURO 2 สาขา, HITORI Shabu 2 สาขา, AOKI Tonkatsu 2 สาขา และแบรนด์ใหม่อีกหนึ่งแบรนด์นำเข้ามาจากญี่ปุ่นในรูปแบบแฟรนไชส์ จะเปิดตัวที่เซ็นทรัล ดุสิตพาร์ค เดือนสิงหาคม ซึ่งแบรนด์นี้จะกลายเป็น New S-Curve ของกรุ๊ป
ที่ผ่านมา การใช้จ่ายต่อหัวของแบรนด์ในกรุ๊ปมีดังนี้ MAGURO 700 บาท, HITORI 800 บาท, SSAMTHING TOGETHER 500 บาท, TONKATSU AOKI 600 บาท และ BINCHO 300 บาท
ด้านความถี่ในการเข้าใช้บริการอยู่ที่ 1 ครั้งต่อเดือน แต่เมมเบอร์ใกล้เคียง 2 ครั้งต่อเดือน
BINCHO หนุนรายได้โตทั้งเครือฯ 30%
แบรนด์ที่ทำรายได้หลัก ยังคงเป็น MAGURO ขับเคลื่อนรายได้หลักอยู่กว่า 50% แต่ในอนาคตตัวเลขจะลดลง เนื่องจากมีแบรนด์อื่น ๆ ที่ทำรายได้น่าพอใจเลื่อนขึ้นมา อย่างเช่น HITORI Shabu ที่มีแนวโน้มการเติบโตค่อนข้างมาก สอดคล้องกับตลาดชาบูที่มี Market Size ใหญ่ ยังมีพื้นที่ให้เติบโตได้อีกมาก ซึ่งขณะนี้ HITORI Shabu มีจำนวนสาขาที่ 14 สาขาแล้ว อีกเพียงแค่ 3-4 สาขาก็จะมีจำนวนรวมเท่ากับ MAGURO
นอกจากนี้ แบรนด์ที่น่าจับตาอีกหนึ่งแบรนด์คือ TONKATSU AOKI ใช้เวลาเพียงหกเดือนก็สามารถขยายสาขาไปได้กว่า 6 สาขาแล้ว ขณะที่ BINCHO ที่ราคาค่อนข้างเป็นมิตร บริษัทมองว่าศักยภาพในการขยายสาขาก็จะไปได้มากเช่นกัน

คุณจักรกฤติ กล่าวต่อว่า MAGURO เลิกวางโพซิชันตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอาหารญี่ปุ่นหรือเกาหลีอีกต่อไป แต่เป็น “นักสร้างสรรค์แบรนด์ที่สร้างประสบการณ์แห่งมื้ออาหารดี ๆ” ออกมาได้เรื่อย ๆ ซึ่งการเปิดแบรนด์ใหม่ ๆ นอกจากจะช่วยกระจายความเสี่ยงของธุรกิจในการจะพึ่งพิงแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเป็นหลัก ยังแสวงหาโอกาสในตลาดใหม่ด้วย สร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้กับ MAGURO Group ซึ่งจะช่วยเสริมให้ Ecosystem กลุ่มร้านอาหารสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
โดยบริษัทได้ขยายทีม R&D เพื่อเจาะลึกไปในอาหารชาติอื่น ทั้งไทย อิตาเลียน ตะวันตก ส่วนอาหารญี่ปุ่นได้มองหา Categories ใหม่ คอนเซปต์ใหม่ด้วยเช่นกัน
“ตั้งเป้าการเปิด BINCHO หนุนรายได้มากุโระ กรุ๊ป ให้เติบโตได้ 30% ในปีนี้” คุณจักรกฤติ กล่าว
นำเสนอแก่นแท้ของอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมวิถีชนบท
คุณธีรภพ กรานเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เผยว่า ไฮไลต์ของร้านอยู่ที่การนำเสนอเมนูอาหารด้วยวิถีแห่ง Washoku นำเสนอแก่นแท้ของอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมวิถีชนบทสู่ชีวิตคนเมือง อาหารเซ็ตจากวัตถุดิบคุณภาพ ปรุงอย่างพิถีพิถัน ย่างด้วยถ่านบินโชตัน ซึ่งเป็นถ่านไม้คุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่น ไร้ควันและมีกลิ่นหอมบาง ๆ ย่างด้วยไฟอุณหภูมิที่แม่นยำ บนเตาระบบย่างคู่ของญี่ปุ่น 2 ชนิด ได้แก่ “อิโรริ” และ “โรบาตะยากิ” ช่วยเผยรสชาติของวัตถุดิบออกมาทีละชั้น
รวมถึงใช้ข้าว Yumepirika สายพันธุ์ดีจากฮอกไกโด หุงสดใหม่ด้วยหม้อฮากามะแบบดั้งเดิม ควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำ นุ่มเหนียว เรียงตัวสวย และได้ความหวานจากธรรมชาติ พร้อมน้ำซุปและเครื่องเคียงแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ตอบโจทย์มื้ออาหารสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการควบคุมค่าใช้จ่าย เมนูอาหารเซ็ตเริ่มต้นเพียง 170 บาท
เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการวันที่ 9 ก.ค. 2568 สาขาแรก ณ ชั้น 1 ศูนย์การค้าเมกาบางนา
