ในตลาด E-commerce ที่ดุเดือดของจีน สงครามราคาครั้งล่าสุดกำลังปะทุขึ้น เมื่อการทำการตลาดแบบ Instant Commerce ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
หลัง 3 แพลตฟอร์มใหญ่ต่างทุ่มเงิน สนับสนุนจำนวนมหาศาล พร้อมด้วยโปรโมชั่นล่อใจเพื่อกระตุ้นยอดขายและจูงใจให้เข้ามาใช้แพลตฟอร์ม
ธุรกิจ Instant Commerce คือบริการส่งสินค้าทันใจ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้าแฟชั่น หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผ่านเครือข่าย ไรเดอร์ จำนวนมหาศาล กำลังเป็นสมรภูมิใหม่ที่ร้อนระอุในจีน
โดยสามบริษัทครองส่วนแบ่งตลาดมากสุดคือ JD.com, Alibaba และ Meituan
การแข่งขันระหว่างบริษัทเหล่านี้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีนี้ โดยทุกบริษัทต่างเร่งขยายเครือข่ายการจัดส่งและทุ่มเงินหลายพันล้านหยวนเพื่อ สนับสนุน ทั้งร้านค้าและผู้บริโภคโดยตรง
จุดเริ่มต้นของสงครามครั้งนี้เริ่มจากการที่ JD.com รุกเข้าสู่ตลาดบริการส่งอาหารในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นตลาดที่ Meituan และ Ele.me ของ Alibaba ครองอยู่
จากนั้นในเดือนเมษายน Meituan ก็ตอบโต้ด้วยการเปิดตัวแพลตฟอร์ม “Flash Shopping” ที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมรับประกันการจัดส่งภายใน 30 นาที ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท ทั้งของชำ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
การแข่งขันทวีความดุเดือดขึ้นอีก ท่ามกลางการกล่าวหาเรื่องการชิงตัวไรเดอร์ และสกัดไรเดอร์ไม่ให้รับคำสั่งซื้อหรือไปส่งของให้แพลตฟอร์มคู่แข่ง จนทำให้แต่ละแพลตฟอร์มล็อกตัวไรเดอร์ให้เป็นพนักงานประจำ
ขณะที่ผู้ก่อตั้ง JD.com ก็ถึงขั้นยอมลงทุนมาเป็นไรเดอร์ส่งอาหารเอง แม้จะเพื่อการโปรโมทแพลตฟอร์มก็ตาม
ผลดีของการแข่งขันดังกล่าวคือทำให้ชาวจีนสามารถซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ด้วยราคาที่ถูกลงอย่างมาก โดย เช่น กาแฟ 1 แก้วรวมค่าจัดส่งใน JD.com ราคาอยู่ที่เพียง 10 หยวน (ประมาณ 49 บาท)
ด้าน Meituan ไปไกลกว่านั้น ด้วยการให้ส่วนลดและคูปอง จนราคากาแฟรวมค่าจัดส่ง เหลือเพียงแก้วละ 2 หยวน (ประมาณ 9 บาท) เท่านั้น
ส่วนชุดซาลาเปากับอาหารเช้า McDonald’s ก็อยู่ที่เพียง 13 หยวน (ประมาณ 58 บาท) และ 26.8 หยวน (ประมาณ 121 บาท) ซึ่งก็ถือว่าถูกมากๆ
การทุ่มงบประมาณเพื่อจัดโปรโมชั่นและ สนับสนุน อย่างดุเดือดยังสะท้อนจากตัวเลขการลงทุนด้วย โดย JD.com ประกาศทุ่มเงิน 10,000 ล้านหยวน (ประมาณ 45,200 ล้านบาท)
เพื่อส่วนลดค่าจัดส่งอาหาร และลงทุนเพิ่มอีก 10,000 ล้านหยวน (ประมาณ 45,200 ล้านบาท) ใน “แผน Double Hundred” เพื่อตรึงร้านค้าที่อยู่เดิมในแพลตฟอร์ม และจูงใจให้ร้านใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา
ด้าน Alibaba ก็ทุ่มงบพัฒนามากถึง 50,000 ล้านหยวน (ประมาณ 226,000 ล้านบาท) เพื่อทำให้ยอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านรายการต่อวันตามเป้า
อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวก็มีข้อเสีย โดยแม้จำนวนผู้ใช้ Instant Commerce จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทว่ากลับส่งผลกระทบต่อตัวเลขสำคัญในการดำเนินธุรกิจของแต่ละบริษัท
Meituan ทำกำไรไตรมาสแรกของปี 2025 ได้มากถึง 10,200 ล้านหยวน (ประมาณ 46,004 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 63% แต่ก็มีการเกรงกันว่าไตรมาสถัดไปจะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรง จนตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นของ Meituan ร่วงลงมาแล้ว 22%
ด้าน JD.com แม้ไตรมาสแรกปี 2025 ทำกำไรได้ 11,700 ล้านหยวน (ประมาณ 52,884 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 31.4% แต่หุ้นก็ลดลง 10% ท่ามกลางคาดการณ์ว่ากำไรไตรมาสที่สองจะลดลง
การทุ่มงบมหาศาลและการจัดโปรโมชั่นส่วนลด เป็นเรื่องปกติในภาคเทคโนโลยีของจีน แต่กำลังถูกจับตามองจากทางการจีน
โดยในเดือนพฤษภาคม กรมการค้า ได้เรียกทั้ง 3 บริษัทเข้าพบ เพื่อเตือนให้ปฏิบัติตามกฎหมายและแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม
ด้านบริษัทค้าปลีกเองก็กังวลเช่นกันว่าพวกตนจะได้รับผลกระทบจากสงครามราคาของแพลตฟอร์ม E-commerce
สถานการณ์ทั้งหมดที่เคยมีการฉายภาพให้เห็นผ่านทางหนังและซีรีส์นี้สะท้อนว่า การแข่งขันในตลาด Instant Commerce ของจีนกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
โดยมีผู้เล่นรายใหญ่ทั้ง JD.com, Alibaba และ Meituan ทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดและดึงดูดผู้บริโภค
ดังนั้นแม้การแข่งขันนี้ทำให้ผู้บริโภคได้สินค้ารวมค่าส่งที่ราคาถูกมากจนน่าตกใจ ทว่าในทางกลับกัน บริษัทเหล่านี้ก็ต้องแบกรับภาระหนัก ทั้งกำไรที่ลดลงและมูลค่าหุ้นที่ผันผวน
ขณะที่หน่วยงานด้านการค้าของจีนแม้ได้พยายามเข้ามาควบคุมเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม แต่สงครามราคาก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด
นี่ทำให้จากนี้จึงต้องจับตาดูว่า บริษัทไหนจะเป็นผู้ชนะหรือทั้งหมดต่างทนไม่ไหวที่กำไรลดลง จนท้ายที่สุดต้องพร้อมใจยุติสงครามส่งด่วน เพื่อลดความเสียหายทางธุรกิจ / cnbc
