ไมเนอร์ ฟู้ด วางเป้าปี 2029 ร้านอาหารและเครื่องดื่มทะลุ 4,500 สาขา ดันโมเดลร้านแฟรนไชส์ขยับสัดส่วนเป็น 56% ผ่านกลยุทธ์ดึงแบรนด์ในกระแสเข้าพอร์ตแฟรนไชส์ สร้างแฟลกชิปสโตร์กลุ่มแบรนด์หลัก และเริ่มลุยหนักตลาดต่างประเทศ

มูลค่าตลาดแฟรนไชส์ในไทยราว 300,000 ล้านบาท มีแบรนด์ที่ทำตลาดอยู่ราว 650 แบรนด์ เป็นแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มคิดเป็นสัดส่วนราว 60% อ้างอิง World Franchise Council (WFC)

ไมเนอร์ ฟู้ด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 20% ของเครือไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กำลังเดินหน้าการเติบโตด้วยการเป็นผู้นำของตลาดแฟรนไชส์ร้านอาหารต่อเนื่อง เนื่องจากตอบโจทย์การใช้เงินลงทุนน้อยที่สุด และสามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว 

ปัจจุบัน ไมเนอร์ ฟู้ด มีพอร์ตธุรกิจมากกว่า 30 แบรนด์ และร้านค้ากว่า 2,700 สาขาใน 24 ประเทศ (เฉพาะประเทศไทยคิดเป็นราว 65%) โดยเป็นร้านแฟรนไชส์ จำนวน 1,300 สาขา หรือคิดเป็น 48% แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ในอนาคต

คุณธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในไทยรวมถึงทั่วโลกอยู่ในช่วงฟื้นตัวและยังมีช่องทางขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ในประเทศไทย บริษัทนับเป็นผู้นำของตลาดแฟรนไชส์ร้านอาหาร แต่สิ่งสำคัญคือการพาตัวเองก้าวไปสู่ระดับโกลบอลให้ได้หลังจากนี้ โดยบริษัทวางการดำเนินงาน เริ่มตั้งแต่การขยายแบรนด์แฟรนไชส์ในไทยให้ครอบคลุมมากขึ้น 

บริษัทได้นำแบรนด์ที่กำลังอยู่ในกระแสความต้องการมาขยายผ่านโมเดลแฟรนไชส์ อาทิ บอนชอน (Bonchon), กาก้า (GAGA) และล่าสุด เดอะ สเต็ก แอนด์ มอร์ (The Steak & More) ขยายความแข็งแกร่งจากแบรนด์หลักอย่าง เดอะ พิซซ่า คอมปะนี (The Pizza Company), สเวนเซ่นส์ (Swensen’s), แดรี่ควีน (Dairy Queen) ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีแบรนด์ที่ทำโมเดลแฟรนไชส์รวม 6 แบรนด์

ปัจจุบัน ‘แฟรนไชส์ซี (Franchisee)’ หรือ เจ้าของกิจการแฟรนไชส์ ผู้ซื้อสิทธิ์ในการจำหน่าย และบริหารงานสาขา ตามรูปแบบที่แฟรนไชส์ซอร์หรือมาสเตอร์ แฟรนไชส์กำหนด ซึ่งแฟรนไชส์ซีราว 70% ของบริษัท เป็นผู้ประกอบการที่บริหารแฟรนไชส์มากกว่า 1 แบรนด์ ทำให้การนำเสนอแบรนด์ที่อยู่ในกระแสเข้ามาเพิ่มเติม จะช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งในการทำธุรกิจ

บริษัทยังพัฒนาร้านฟอร์แมตใหม่ในแบรนด์หลัก อาทิ ‘แดรี่ ควีน (Dairy Queen)’ มาทำสาขาสแตนด์อโลน ที่เปิดร่วมกับร้านสะดวกซื้อที่มีที่จอดรถ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบาย ใกล้กับที่อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น ทั้งสร้างรายได้จากการขายมากขึ้น เนื่องจากระยะเวลาขายนานและยืดหยุ่นกว่า และมีขนาดพื้นที่มากกว่าสาขาในห้าง

นอกจากนั้น บริษัทยังมีการเปิดตัวสาขาแฟลกชิปในแบรนด์หลัก ในรูปแบบที่สอดคล้องกับกลุ่มโลคอลในพื้นที่ตั้งของสาขา อย่างที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุด ‘สเวนเซ่นส์ (Swensen’s) แฟลกชิปสโตร์แห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ ณ สาขา Meta Mall เชียงใหม่’ ซึ่งได้รับการออกแบบโดยผสมผสานเอกลักษณ์ของแบรนด์เข้ากับแรงบันดาลใจจากศิลปะและวัฒนธรรมล้านนา พร้อมนำเสนอเมนูไอศกรีมเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับสาขานี้โดยเฉพาะ

ส่วนแผนงานการผลักดันการขยายสาขาในต่างประเทศ บริษัทจะเดินหน้ารุกตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น อาทิ ประเทศอินโดนีเซีย ที่บริษัทขยายสาขา แดรี่ ควีน และ กาก้า รวมถึง ประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย อาทิ จีน, สิงคโปร์, ออสเตรเลีย, ญี่ปุ่น, ประเทศเพื่อนบ้าน CLMV และภูมิภาคตะวันออกกลาง ด้วยแบรนด์หลัก เช่น เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เล่อร์, เดอะ คอฟฟี่ คลับ

ทั้งการพัฒนาและขยายแบรนด์ใหม่ ที่ตอบโจทย์เทรนด์อาหารที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านการพัฒนาเอง การร่วมลงทุนกับพันธมิตร รวมถึง การเข้าซื้อแบรนด์ที่มีศักยภาพ อาทิ การเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ เดอะ สเต็ก แอนด์ มอร์ ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมาเองเพื่อเจาะตลาดสเต๊กกลุ่มแมส

จุดแข็งอย่างหนึ่งของบริษัทคือการเป็นทั้ง ‘แฟรนไชส์ซอร์ (Franchisor)’ หรือบริษัทแม่ หรือเจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ขายแฟรนไชส์ ที่มีหลากหลายแบรนด์ และยังเป็น ‘แฟรนไชส์ซี (Franchisee)’ ทำให้บริษัทมีความเข้าใจในการทำงานร่วมกับแฟรนไชส์ซีของบริษัทเอง 

โดยในปี 2029 บริษัทตั้งเป้ามีจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มรวมทั้งสิ้นกว่า 4,500 ร้าน ซึ่งเป็นร้านแฟรนไชส์จำนวนกว่า 2,500 ร้าน หรือคิดเป็น 56% ของพอร์ตธุรกิจทั้งหมด เพื่อขับเคลื่อนแบรนด์ในเครือสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer