1 กันยายน 2568 ถือเป็นวันแรกที่ช้อปปี้นำนโยบายส่งสินค้าเร็วขึ้นมาบังคับใช้ ให้ร้านค้าต้องจัดส่งสินค้าให้กับบริษัทขนส่งในวันเดียวกัน เมื่อลูกค้าสั่งซื้อและชำระเงินค่าสินค้า ก่อนเที่ยง ส่วนสินค้าที่สั่งซื้อหลังเที่ยงให้จัดส่งสินค้าในวันถัดไป ไม่นับรวมวันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ยกเว้นสินค้าขนาดใหญ่ที่ให้ระยะเวลาในการเตรียมสินค้า 1 วัน หาไม่ทันจะถูกลดคะแนน และมีผลกับการแสดงผลของร้านค้าให้ผู้บริโภคเห็น
นโยบายนี้เป็นมาตรการที่ช้อปปี้ปรับระยะเวลาส่งจากเดิมที่ร้านค้ามีระยะเวลาเตรียมสินค้า 1 วันหลังการสั่งซื้อสำเร็จ
การที่ช้อปปี้หันมาปรับนโยบายให้ร้านค้าแพ็กสินค้าส่งเร็วขึ้น Marketeer มองว่ามาจาก
1.ช้อปปี้เผชิญกับคู่แข่งรอบด้าน ที่ต่างมีจุดเด่นของตัวเองเข้าจับกลุ่มลูกค้า เช่น การเข้ามาบุกตลาดของ Tamu ที่เน้นสินค้า Non Brand, การเติบโตของ TikTok Shop ผ่าน Shopertainment, ขยายตัวของ E-Retail และ Brand.Com ที่ต่างนำเสนอสินค้าจากแบรนด์โดยตรงถึงมือผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ที่เป็นของตัวเองมากขึ้น
รวมถึงการแข่งขันกับโซเชียลคอมเมิร์ซที่ร้านค้าต่างใช้เป็นช่องทางในการจำหน่ายสินค้าเข้าถึงผู้บริโภคที่นิยมเลือกซื้อสินค้าผ่านโซเชียลแพลตฟอร์มอีกทางหนึ่ง
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ช้อปปี้นำเรื่องการส่งสินค้าไวเข้ามาเป็นจุดขายที่ดึงดูดลูกค้าให้ตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม เพราะต้องการได้รับสินค้าที่รวดเร็วกว่าการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มอื่น และยังเป็นการสร้างความประทับใจในการซื้อจนเลือกช้อปปี้เป็นแพลตฟอร์มแรกในการมองหาสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
2.จากสำรวจของ DHL ในปีที่ผ่านมาพบว่าคนไทยมากถึง 74% มีความคาดหวังการจัดส่งในวันถัดไป (Next-day delivery) ซึ่งความคาดหวังนี้ส่วนหนึ่งมาจากแพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลสที่แข่งขันในเรื่องการปรับระยะเวลาการส่งสินค้าถึงมือลูกค้าให้รวดเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากมาตรการต่างๆ ที่กระตุ้นให้ร้านค้าแพ็กสินค้าส่งขนส่งให้เร็วขึ้น และการมีขนส่งของตัวเองที่สามารถควบคุมความเร็วในการจัดส่งได้
นอกจากนี้ ความต้องการได้รับสินค้าอย่างรวดเร็วของผู้บริโภคยังถูกสปอยโดย E-Retail อย่างเช่น 7-Eleven, Lotus’s Online, Tops และอื่นๆ รวมถึงแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ที่ต่างให้บริการ On-Demand Delivery ส่งสินค้าภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หรือภายในวันเดียวด้วยเช่นกัน
3.เกมการแข่งขันของอีคอมเมิร์ซเปลี่ยนจากใครถูกสุด เป็นใครสร้างความคุ้มค่าให้กับลูกค้าได้มากที่สุด ซึ่งความคุ้มค่าของลูกค้าแต่ละคนมีความแตกต่างกัน เช่น คุณภาพของสินค้า, สินค้ามีปัญหาสามารถเปลี่ยนคืนได้ง่าย และการจัดส่งที่รวดเร็ว เป็นต้น
4.ในปีนี้ ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา CEO & Co-Founder, Pricez คาดการณ์ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยจะมีมูลค่ามากถึง 1.07 ล้านล้านบาท เติบโต 7% จากปี 2567 ที่มีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท และคาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ตลาดอีคอมเมิร์ซจะมีมูลค่ามากถึง 2 ล้านล้านบาท
ซึ่งการเติบโตของอีคอมเมิร์ซส่วนหนึ่งเป็นการเติบโตจากการแข่งขันในอีมาร์เก็ตเพลส เนื่องจากเป็นเซ็กเมนต์ที่มีสัดส่วนมากถึง 50% ในตลาดอีคอมเมิร์ซรวมในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี มาตรการการส่งไวของช้อปปี้ถือเป็นหนึ่งในการเปิดเกมสร้างมาตรฐานใหม่ในสงครามสั่งส่งด่วนของอีคอมเมิร์ซ เพราะนอกเหนือจากช้อปปี้ที่มีมาตรการให้ร้านค้าแพ็กสินค้าส่งเร็วขึ้นในวันนี้ ทางด้าน TikTok Shop ได้มีมาตรฐานแพ็กสินค้าที่สั่งก่อนเที่ยงส่งในวันเดียวกันมาใช้กับร้านค้าด้วยเช่นกัน โดยมาตรการของ TikTok Shop เริ่ม 1 ตุลาคม 2568
การที่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซออกนโยบายให้ร้านค้าแพ็กสินค้าส่งตามข้อกำหนดใหม่ ถือเป็นความท้าทายของร้านค้าที่จะต้องเผชิญความเสี่ยงกับการบริหารสต๊อกและค่าใช้จ่ายในการจ้างทีมงานเพื่อให้สามารถมีสินค้าแพ็กพร้อมส่งตรงเวลา เพื่อไม่ให้ร้านค้าตัวเองหลุดออกจากวงโคจรของการช้อป
