ความต้องการในตลาดงานจีนช่วงไม่กี่ปีมานี้กำลังเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด โดยหนึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากสุดคือ บรรดาบัณฑิตจากสถาบันในต่างประเทศ เพราะจากในอดีตที่เคยเป็น “ตั๋วทอง” รับประกันอนาคตอันสดใส
พร้อมกับต่อยอดไปความมั่นคงในหน้าที่การงาน ตามสำนวน “ชามเหล็ก” แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะคุณสมบัตินี้ กลับเป็นจุดอ่อนที่ทำให้หางานทำยากขึ้น
ที่มาของเรื่องนี้น่าสนใจ เพราะนอกจากแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในทิศทางตรงกันข้ามแล้ว ยังเป็นผลกระทบจากปัจจัยภายในและภายนอก ท่ามกลางสถานการณ์โลกอีกด้วย ที่บีบให้เทรนด์ “จีนมาก่อน” โตขึ้นมา
การขู่ว่าจะยกเลิกวีซ่า นักเรียน-นักศึกษาจีนของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อหลายปีก่อนทำให้ความไม่แน่นอนและความหวาดกลัว ปกคลุมในหมู่ นักเรียน-นักศึกษาจีนในสหรัฐฯ โดยแม้ภายหลังจะเจรจากันได้ และสถานการณ์เหมือนจะดีขึ้น แต่ความไม่แน่นอนและความหวาดกลัวก็ยังมีอยู่ ซึ่งก็ส่งผลให้จำนวนนักเรียน-นักศึกษาจีน ที่พากันกลับประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการจีนและศูนย์โลกาภิวัตน์จีน (Center for China and Globalization) ระบุว่า จำนวนบัณฑิตจีนที่กลับจากต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนว่ามีจากสหรัฐฯ รวมอยู่ด้วย เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 350,000 คนในปี 2013 เป็น 580,000 คนในปี 2019 และแตะระดับ 1 ล้านคนในปี 2021
นอกจากนี้การกลับบ้านเกิดของพวกเขาก็ไม่ได้การต้อนรับที่อบอุ่นเหมือน “เด็กจีนจบนอก” ในอดีต

เหลียน (นามสมมติ) บัณฑิตชาวจีนวัย 24 ปีที่เคยใช้ชีวิตในสหรัฐฯ 3 ปีเล่าว่า ความฝันที่จะทำงานใน Wall Street ต้องพังทลายลงหลังวีซ่านักศึกษาของเขาถูกยกเลิกกะทันหันเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว เนื่องจากนโยบายที่ห้ามนักศึกษาและนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพจีน ทำให้เขาต้องกลับมาหางานในจีนแผ่นดินใหญ่ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอันดุเดือด
แม้จะส่งใบสมัครไปกว่า 70 แห่งทั้งในสถาบันการเงินและธนาคารของรัฐ แต่เหลียนกลับไม่ผ่านแม้แต่การคัดกรองเบื้องต้น
โดยเขามองว่า ความละเอียดอ่อนทางการเมือง เป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้ได้งาน และรู้สึกว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากสหรัฐฯ กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้หางานได้ยากขึ้นอย่างไม่คาดคิด
สถานการณ์ของเหลียนสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่บัณฑิตจบจากต่างประเทศกำลังเผชิญ เมื่อตลาดงานในจีนเริ่มเปิดรับคนในประเทศมากกว่า ทั้งในภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีที่มาจากหลายปัจจัย
เริ่มจาก ความหวาดกลัวเรื่องสายลับต่างชาติ หรือคนในประเทศจะแฝงตัวมาเป็นสายลับให้ต่างชาติที่มีมานาน และปัจจุบัน กำลังกลับมาเพิ่มขึ้น
โดยหนึ่งในตัวอย่างที่เป็นข่าวดังของเรื่องนี้คือ ซีอีโอหญิงของบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าจีนยักษ์ใหญ่เคยสั่งห้ามไม่ให้รับ บัณฑิตที่กลับจากต่างประเทศ เพราะอาจมีสายลับแฝงตัวอยู่
อัลเฟรด อู๋ ศาสตราจารย์ด้านจีนจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์อธิบายว่า ความกังวลเรื่องความมั่นคงกลายเป็น บรรทัดฐานทางสังคมของจีน ซึ่งเป็นผลมาจากแคมเปญของกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐที่คอยย้ำเตือนประชาชนอยู่เสมอ จนนักศึกษาที่กลับจากต่างประเทศตกเป็นเป้า
ยังมีอีกหลายเหตุผลที่ ทำให้บริษัทจีน เมินบัณฑิตจีนที่เรียนจบจากต่างประเทศ แล้วหันไปรับ บัณฑิตจีนจบในประเทศมากขึ้น
เริ่มจากความคุ้มค่า โดยบริษัทจีนบางแห่งมองว่าบัณฑิตที่จบจากในประเทศมีความ “คุ้มค่า” มากกว่า เพราะเรียกเงินเดือนน้อยกว่า ปกครองง่าย และยังมีทัศนคติการทำงานที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่น
เหตุผลต่อมาคือ วัฒนธรรมการทำงาน โดย ยวน ซิน ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาอาชีพในเซี่ยงไฮ้กล่าวว่า บัณฑิตที่จบจากประเทศตะวันตกซึ่งให้ความสำคัญกับสมดุลชีวิตและการทำงาน อาจไม่เหมาะ กับวัฒนธรรมการทำงานแบบ 996 (ทำงาน 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์) ที่เป็นเรื่องปกติในจีน
ซึ่งเหตุผลนี้ทำให้ กลายเป็นจุดแข็งของบัณฑิตที่จบจากสถาบันในประเทศ เพราะบริษัทจีนมองว่า ทุ่มเททำงานมากกว่า แม้พักผ่อนหรือมีเวลาส่วนตัวน้อยลงไปบ้างก็ยอมรับได้
ตรงข้ามกับบัณฑิตที่จบจากสถาบันต่างประเทศ ที่มองเรื่องสมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิต (Work-Life Balance) มากกว่า จนบางครั้งดูเหมือนอู้หรือไม่ทุ่มเทกับงาน
สาเหตุสุดท้ายคือ บัณฑิตจีนจบใหม่หลายคนกลับมาจากต่างประเทศพร้อมวุฒิปริญญาโทที่ใช้เวลาเรียนเพียง 1 ปี ซึ่งบริษัทจีนมองว่าขาดทักษะที่แข็งแกร่งและประสบการณ์ที่จำเป็น
ผู้เชี่ยวชาญด้านจีน วิเคราะห์ทิ้งท้ายว่า นโยบายจีนในปัจจุบันที่มุ่งเน้นความมั่นคงภายในประเทศมากกว่าการเปิดรับโลกภายนอก หรือที่เรียกว่า “จีนมาก่อน” ทำให้ความได้เปรียบที่นักศึกษาต่างประเทศเคยมี เลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน
เรื่องนี้เป็นที่เข้าใจได้ เพราะปัจจุบันจีนพัฒนาก้าวหน้าขึ้นทุกๆ ด้าน และมีองค์ความรู้มากมาย ดังนั้นชาวจีนจึงภูมิใจในสถาบันการศึกษาในประเทศ พร้อมกันนี้สถาบันการศึกษาจีนยังมีชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยที่พากันไปเรียนในแต่ละปีอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หากมองอีกด้าน การพากันกลับบ้านเกิดของนักศึกษาจีนในต่างประเทศ และต้องมาพบว่าไม่เป็นที่ต้องการของตลาดงานนั้น ก็เกิดจากผลกระทบของสงครามการค้า และการหวาดกลัวหรือไม่วางใจจีน ของหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และประเทศแถบตะวันตก
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จีนจะกลัว ทุกอย่างที่มาจากต่างประเทศ แต่โชคร้ายที่ในจำนวนนี้มี นักเรียน-นักศึกษาของจีนเองรวมอยู่ด้วย

ฝ่ายที่ต้องทนแบกรับความเสียหายจากเทรนด์นี้ไปมากสุด คือบรรดาคน Gen Y และ Gen Z ชาวจีนที่ไปเรียนต่างประเทศ และครอบครัวทุ่มเงินก้อนใหญ่ส่งเสียให้ลูกไปเรียนต่างแดนพร้อมความหวังให้ลูกมีอนาคตที่ดี แต่กลับมางานทำยากมากหรือตกงาน
ส่วนในทางเศรษฐกิจ นี่ก็ถือว่าน่าเสียดาย เพราะจีนพลาดโอกาสในการนำองค์ความรู้จากต่างชาติที่ “เด็กจีนจบนอก” ติดตัวกลับมาด้วย ไปปรับและใช้เพื่อพัฒนาประเทศ / cnn
