แบรนด์ฟาสต์ฟู้ดในสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในช่วงกู้วิกฤต จากปัจจัยลบที่รุมล้อม จนฉุดยอดขาย และทำให้ ต้องตัดใจปิดสาขาที่ต่อไปไม่ไหว โดยล่าสุดปรากฏว่ามีอีกแบรนด์ที่ต้องใช้ยาแรงเช่นกัน

Wendy’s ประกาศว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 จะมีสาขาในสหรัฐฯ ราว 5% ที่ต้องปิดกิจการ ตามแผนกู้วิกฤต เนื่องจากยอดขายลดอย่างต่อเนื่อง ฉุดให้ยอดขายเฉลี่ยต่อร้านของไตรมาส 3 ปี 2025 ลดลง 5%
แม้ทาง Wendy’s ไม่ได้ระบุแน่ชัด แต่สื่อด้านเศรษฐกิจและธุรกิจในสหรัฐฯ ก็วิเคราะห์ว่าในเมื่อมีสาขาในสหรัฐฯ อยู่ 6,011 แห่ง 5% ของจำนวนนี้ก็คิดเป็น 300 สาขาเลยทีเดียว และหากรวมเมื่อปี 2024 ด้วยจำนวนสาขาที่ถูกปิดก็เพิ่มเป็น 540 แห่งแล้ว
Wendy’s ต้องใช้แนวทางนี้ เพราะภาวะเงินเฟ้อทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้บรรดาเชนร้านฟาสต์ฟู้ดต่างต้องงัดโปรโมชั่นและแคมเปญเพื่อดึงแย่งชิงลูกค้ากลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่หนึ่งในนั้นคือการออกเมนูราคาประหยัด 5 กับ 8 ดอลลาร์ (ประมาณ 161 กับ 258 บาท) แบบเดียวกับคู่แข่งอย่าง McDonald’s
แต่กลายเป็นว่าลูกค้าก็แทบไม่ตอบรับ เพราะมองว่ายังแพงไปอีก พร้อมหันไปทำอาหารกินเองที่บ้านและลดการไปกินนอกบ้าน
เคน คุก รักษาการซีอีโอ Wendy’s กล่าวว่า ผิดหวังที่ลูกค้าไม่ตอบรับ โดยจากนี้จะปรับแผนการตลาดใหม่ด้วยการเน้นไปที่ ความคุ้มค่าและความสดใหม่ของวัตถุดิบแทน ส่วนสาขาที่ไม่ได้เป็นตัวถ่วงและ ยังได้เปิดต่อไป อาจมีการเพิ่มเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ใหม่เข้าไป และเปลี่ยนเจ้าของเฟรนไชส์
สำหรับ Wendy’s แม้ไม่เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ แต่เป็นที่คุ้นเคยของผู้บริโภคในสหรัฐฯ เพราะเปิดมาแล้ว 55 ปี มีสาขาอยู่กว่า 6,000 แห่ง พร้อมโลโก้รูปเด็กผู้หญิงเปียแดงสะดุดตา โดยมีเมนูดังคือเบอร์เกอร์ทรงสี่เหลี่ยม

อย่างไรก็ตามด้วยวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้ชาวอเมริกันต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด กระทบโดยตรงต่อยอดขายของ Wendy’s ซ้ำร้ายเมื่อกลางปี 2024 ซีอีโอ เคิร์ก แทนเนอร์ ก็ย้ายไปเป็นซีอีโอของ Hershey’s อีก ทำให้ เคน คุก ต้องขึ้นมาเป็นซีอีโอรักษาการณ์นับจากนั้น
เคน คุก เลือกใช้ยาแรงเพื่อกู้วิกฤต นำมาสู่การปิดสาขาที่ไม่ทำกำไรหรือยอดขายตกไปแล้ว 2 รอบ เป็นจำนวนรวมกว่า 500 แห่งตามที่ได้กล่าวไปแล้วด้านบน โดยการสั่งปิดร้านทำให้นักลงทุนกังวลต่อสถานการณ์ของ Wendy’s จนฉุดให้ราคาหุ้นลดลง ตั้งแต่เมื่อศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน ต่อเนื่องถึงจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ยอดขายตกจากสถานการณ์เศรษฐกิจ ถือเป็นปัญหาเดียวกันที่แบรนด์ฟาสต์ฟู้ดดังๆ ในสหรัฐฯ กำลังเผชิญในปี 2025 โดยที่เป็นข่าวใหญ่คือกรณีของ Pizza Hut 
9 เดือนแรกของปี 2025 ยอดขาย Pizza Hut ในสหรัฐฯ ลดลงไป 7% ส่วนยอดขายทั่วโลกก็เพิ่มเพียง 2% เท่านั้น ท่ามกลางขาลงอย่างหนักในสหราชอาณาจักร ที่ทำให้ต้องปิดสาขาแบบนั่งกินในร้านไป 64 จากทั้งหมด 132 แห่ง จน Yum Brands บริษัทแม่เล็งขาย Pizza Hut ออกไป หลังอยู่ชายคารวมกับแบรนด์ร้านฟาสต์ฟู้ดอเมริกันดังอีก 2 แบรนด์ อย่าง KFC และ Taco Bell มาเกือบ 30 ปี / japantoday, ap
