ตลาดเครื่องครัวไทย เติบโตทะลุ 1,000 ล้านบาท รับเทรนด์สุขภาพและเศรษฐกิจไม่แน่นอน ดันคนไทยกลับเข้าครัว ‘ไมย์เออร์ กรุ๊ป’ จับสัญญาณบวกปรับทัพรุกตลาดแมส ส่งเสริมการเติบโตยอดขายตลาดในประเทศระดับเลขสองหลัก แม้ยังมีความท้าทายจากสินค้าจีนและมาตรการภาษี

| ตลาดเครื่องครัวไทย โตทะลุพันล้าน
รับเทรนด์สุขภาพและเศรษฐกิจไม่แน่นอน ดันคนไทยกลับเข้าครัว |
|
| ปี ค.ศ. | มูลค่าตลาดเครื่องครัว (Kitchenware) ในไทย เฉพาะหม้อ, กระทะ, ชุดภาชนะใส่อาหาร, ผ้าปูโต๊ะ, แก้วและถ้วย / ล้านบาท |
| 2025 | 1,096 |
| 2026 | 1,133 |
| 2027 | 1,170 |
| 2028 | 1,207 |
| อัตราแลกเปลี่ยน 1 USD = 32.50 บาท | |
| ที่มา: Statista, พฤศจิกายน 2025 | |
คุณโจเซฟ โล ผู้จัดการทั่วไป และ ผู้อำนวยการ บริษัท ไมย์เออร์ อินดัสตรีส์ จำกัด และ บริษัท ไมเร็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ในกลุ่ม Meyer Group (ไมย์เออร์ กรุ๊ป) ผู้นำธุรกิจเครื่องครัวระดับโลก กล่าวว่า แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีความไม่แน่นอนสูง แต่บริษัทยังประเมินว่าภาพรวมตลาดเครื่องครัวไทยจะยังเติบโตต่อเนื่องไปอีกหลายปี
เนื่องจากบริษัมมองเห็นโอกาสสำคัญจากผลสำรวจเชิงลึกของบริษัทที่พบว่า คนไทยยุคใหม่อายุระหว่าง 18-45 ปี อาศัยอยู่ในคอนโดและบ้านพัก มีแนวโน้มเข้าครัวทำอาหารรับประทานเองเพิ่มขึ้น 10-15% จากปัจจัยบวกด้านการดูแลสุขภาพและรูปร่าง, ภาวะความผันผวนทางเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น
เทรนด์ตลาดเครื่องครัวที่กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ คือ กลุ่มเครื่องครัวสแตนเลสที่ไม่มีการเคลือบผิว และเครื่องครัวเคลือบเซรามิก เชื่อมโยงกับแนวโน้มที่ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพมากขึ้นและอยากทำอาหารเองที่บ้าน
หากแบ่งสัดส่วนยอดขายสำหรับแบรนด์หลัก ๆ ที่บริษัทใช้ทำตลาดอยู่ในไทย ดังนี้ Meyer เจาะกลุ่ม Mid to High อยู่ที่ 70%, Prestige เจาะกลุ่ม Premium Mass อยู่ที่ 15%, Circulon และ Anolon เจาะกลุ่ม High-end อยู่ที่ 10% และแบรนด์นำเข้าอื่น ๆ ราว 5%
บริษัทได้วางเป้าหมายการเติบของตลาดในไทยไว้ราว 20% ต่อปี ตลอดช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยจะอาศัยการลงเล่นตลาดแมสครั้งแรกผ่านแบรนด์ Prestige เริ่มต้นด้วยคอลเลกชัน Made to Last Stainless Steel ซึ่งวางตำแหน่งราคาเริ่มต้นหลักร้อยบาท
บริษัทวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนของแบรนด์ Prestige ให้ขยับมาใกล้เคียงกับ Meyer โดยวางเป้ายอดขายของ Prestige ไว้ราว 100-150 ล้านบาทต่อปี และจะยังคงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของแบรนด์หลักอย่าง Meyer ต่อเนื่อง
เดิมที แบรนด์ Meyer จะวางตำแหน่งอยู่ตามห้างสรรพสินค้า แต่การมาลงเล่นตลาดแมสผ่าน Prestige บริษัทต้องโฟกัสช่องทางใหม่ ๆ อย่างอีคอมเมิร์ซมากขึ้น และมุ่งมั่นที่จะสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์กับผู้บริโภคผ่านการทำ Live Streaming
การทำการตลาดผ่านอีคอมเมิร์ซ บริษัทยังมองว่ามีความท้าทายจากสินค้าจีนบางส่วนที่ขายผ่านแพลตฟอร์มอาจหลุดเข้ามาในตลาดโดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบ มาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ซึ่งทำให้ผู้ผลิตในประเทศที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการทำ มอก. เสียเปรียบอย่างไม่เป็นธรรม
แม้ว่าจะมีกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้สินค้าอีคอมเมิร์ซจากจีนต้องจ่ายภาษี 10% บวก VAT แต่ผู้ผลิตในประเทศก็ยังต้องจ่ายภาษีนำเข้าวัตถุดิบอยู่ดี ทำให้บริษัทยังไม่มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนเหนือสินค้าที่จากจีน สิ่งสำคัญคือการควบคุมให้สินค้าเหล่านั้นต้องผ่าน มอก. ด้วย
นอกจากนั้น ตลาดในประเทศ บริษัทยังมีความกังวลถึงผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษี VAT จาก 7% เป็น 10% ในปี 2028 ซึ่งจะเป็นการเพิ่มภาระต่อผู้บริโภค แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะยังไม่มีผลทันที แต่ก็สร้างความไม่แน่นอนสูงต่อผลกระทบที่แท้จริง เและบริษัทยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ถึงต้นทุนวัตถุดิบหรือค่าแรงในอนาคต
ซึ่งบริษัทมองว่าควรคง VAT ไว้ที่ระดับปัจจุบัน เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยยังไม่ดีนัก หากเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง การปรับเพิ่มอาจจะทำได้ง่ายกว่า แต่ในสถานการณ์ช่วงนี้ การขึ้น VAT จึงดูเหมือนไม่สมเหตุสมผล
ส่วนของบริษัทก็มีการปรับตัวโดยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดต้นทุนและราคาให้เหมาะสมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาขายสินค้า
ด้านการดำเนินงานของโรงงานไมย์เออร์ อินดัสตรีส์ ณ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ปัจจุบันถือเป็น 60% ของสัดส่วนการผลิตเพื่อส่งออกของทั้งกลุ่มไมย์เออร์ กรุ๊ป โดยส่งออกไปกว่า 30 ประเทศทั่วโลก
โรงงานไมย์เออร์ อินดัสตรีส์ มีกำลังการผลิตเครื่องครัวสูงสุดอยู่ที่มากกว่า 100,000 ใบต่อวัน หรือประมาณ 30-40 ล้านใบต่อปี แม้ว่าปัจจุบันจะใช้กำลังการผลิตที่ 50-60% เนื่องจากผลกระทบจากภาษีนำเข้าในตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐอเมริกาซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 80% โดยเป็นเรื่องยากที่จะหาตลาดอื่นมาชดเชยปริมาณนี้
บริษัทได้พยายามกระจายการส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ อย่างเกาหลีใต้และอินเดีย แต่ปริมาณยังเล็กกว่าสหรัฐอเมริกามาก ซึ่งหวังว่าผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ จะคลี่คลายโดยเร็ว และยังคงมองการลงทุนในประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเทียบกับการทำธุรกิจในภูมิภาคอื่น
