พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มย่อมแตกต่างกันไปจากหลายสาเหตุ ซึ่งหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับความสนใจเสมอเมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลออกมาคือ กลุ่มสินค้าหรูซึ่งมีเป้าหมายหลักคือบรรดาเศรษฐี
การเปิดเผยข้อมูลของตลาดนี้ครั้งล่าสุดก็น่าสนใจเช่นกัน เพราะนอกจากยังติดอยู่ในขาลงแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจจนเกิดการแบ่งขั้ว แต่ในมุมของแบรนด์ถือว่าจำเป็น เพราะช่วยเรื่องยอดขายในช่วงที่เศรษฐกิจไม่เป็นใจ

Bain & Co หนึ่งในสามบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ ธุรกิจและการตลาดใหญ่สุดของโลก เผยคาดการณ์ล่าสุดว่า ในปี 2025 ยอดขายสินค้าหรูทั่วโลก จะอยู่ที่ 410,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 13 ล้านล้านบาท)
ซึ่งลดลง 2% จากปี 2024 และเป็นการลดลง 2 ปีติดต่อกันครั้งแรกนับจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2008 และ 2009 โดยมีรองเท้ากับกระเป๋าหรูมียอดขายลดลงมากสุด
ขาลงต่อเนื่องครั้งเกิดจากหลายปัจจัย เริ่มจากภาวะเงินเฟ้อและกำลังซื้อลดลง ตามด้วยสถานการณ์โลกที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจและการซื้อสินค้าของผู้บริโภค ขณะที่เศรษฐกิจฝืดเคืองกับการขึ้นภาษีก็ส่งผลเช่นกัน
ปัจจัยลบที่ฉุดยอดขายสินค้าหรูยังไม่หมดแค่นั้น โดยอีกปัจจัยลบหนึ่งที่ถือว่ามีนัยสำคัญคือ เศรษฐีทั่วไปลดการซื้อลง เพราะไม่พอใจที่แบรนด์หรูเอาใจกลุ่มอภิมหาเศรษฐี (Ultra High Net Worth Individuals – UHNWI) มากเกินไป

รายงานดังกล่าวระบุว่า เศรษฐีทั่วไป เศรษฐีใหม่ และคนทั่วไปที่เพิ่งได้เข้าไปในสังคมชั้นสูง มองว่า แบรนด์หรูตั้งราคาไว้สูงเกินไป พร้อมบริการชั้นเลิศเพื่อจับกลุ่ม UHNWI จนทำให้สินค้าหรูกลายเป็นสินค้าเกินเอื้อมสำหรับพวกตน โดยมีโซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยการโพสต์แสดงความไม่พอใจหรือผลเสียของการใช้ชีวิตหรูหรา เป็นตัวเร่ง
ทว่าหากมองในมุมแบรนด์และการทำธุรกิจ ถือว่าเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะแม้ UHNWI มีอยู่น้อยเพียง 400,000 คนทั่วโลก แต่กลุ่มนี้ก็มีทรัพย์สินส่วนตัวเกิน 34 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,100 ล้านบาท) จึงไม่ได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบน้อยจากสถานการณ์โลก ทำให้สามารถซื้อของแบรนด์หรูได้ใหม่อย่างเรื่อย ๆ ดังนั้นแบรนด์จึงต้องเสนอบริการชั้นเลิศเพื่อรั้งตัวไว้
ปัจจัยสุดท้ายที่ทำให้ยอดขายสินค้าแบรนด์หรูจะลดลงอีกในปี 2025 คือ ความซ้ำซากจำเจ จนแทบแยกความแตกต่างระหว่างแบรนด์ไม่ออก ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า แบรนด์หรูกำลังอยู่ในช่วงความสร้างสรรค์ตีบตัน ซึ่งเรื่องนี้ก็บีบให้ปีนี้หลายแบรนด์ต้องพากันเปลี่ยนดีไซเนอร์ใหญ่ ต่อเนื่องไปถึง “การยกเครื่อง” ของเครือแบรนด์หรูยักษ์ใหญ่อย่าง Kering
Kering ยกเครื่องครั้งใหญ่ ด้วยการคว้าตัว ลูก้า เด มีโอ แบรนด์รถ Renault มาเป็นซีอีโอ พร้อมกับดึงตัว เดมน่า กวาซาเลีย จาก Balenciaga กับ ปิแอร์เปาโล ปิคชิโอลี จาก Valentino มาเป็นดีไซเนอร์ใหญ่ของ Gucci และ Balenciaga ตามลำดับ

หลังจากยกเครื่องไม่นาน Kering ก็มีอีกข่าวใหญ่ตามมา นั่นคือการถอนตัวจากธุรกิจบิวตี้และน้ำหอม ด้วยการขายทิ้งทั้งสองธุรกิจนี้ให้ L’Oreal เพื่อให้สามารถกลับมามุ่งกับสินค้าแฟชั่นและแบรนด์หรูที่เป็นธุรกิจหลักได้อย่างเต็มที่ตามแผนของซีอีโอใหม่ หลังก่อนหน้านี้ยอดขายในจีนร่วงและมีหนี้ก้อนใหญ่ต้องสะสาง จนไปฉุดผลประกอบการ
ส่วนปี 2026 Bain & Co คาดการณ์ว่า ตลาดสินค้าหรูทั่วโลกจะกลับมาโต 3% – 5% โดยยอดขายอยู่ที่ 420,000 – 432,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 13.6 ล้านล้าน- 14 ล้านล้านบาท) หลังตลาดการเงินสหรัฐฯ กลับมาแข็งแกร่ง และตลาดจีนฟื้นตัว / japantoday , ap
