หนึ่งในเครือแบรนด์หรูระดับโลกที่ถูกจับตามองมากสุดของปี 2025 คือ Kering เพราะเป็นปีที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดต่อเนื่องไปถึงขายทิ้งปีกธุรกิจความงาม (Beauty) ซึ่งหนึ่งในนั้นมีแบรนด์น้ำหอมเก่าแก่ที่เพิ่งซื้อมาได้ไม่นานรวมอยู่ด้วย 

Kering ยักษ์เครือแบรนด์หรูฝรั่งเศส ซึ่งมี Gucci เป็นหนึ่งในแบรนด์ดังใต้ชายคา ขายปีกธุรกิจความงามต่างๆ ทั้งหมดให้ L’Oréal แบรนด์เครื่องสำอางดังร่วมชาติ ผ่านข้อตกลงมูลค่า 4,600 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 150,000 ล้านบาท) 

มีหลายประเด็นที่ทำให้ดีลซื้อ-ขายธุรกิจครั้งนี้ถูกจับตามองและถือเป็นข่าวใหญ่ เริ่มจากรายละเอียดของดีล โดยนอกจากทำให้ L’Oréal ได้สิทธิ์ในการพัฒนา ผลิต และจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ความงามภายใต้แบรนด์แฟชั่นดังในเครือ Kering ได้แก่ Gucci, Bottega Veneta และ Balenciaga เป็นระยะเวลา 50 ปีเต็มแล้ว 

L’Oréal ยังจะได้สิทธิ์ในการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายพัฒนา ผลิต และจำหน่าย น้ำหอมของทั้ง 3 แบรนด์ที่ได้กล่าวไปแล้วอีกด้วย ขณะเดียวกันก็จะได้ Creed แบรนด์น้ำหอมเก่าแก่ที่ Kering เพิ่งไปอยู่ใต้ชายคา 

ประเด็นต่อมาที่ทำให้ดีลนี้น่าสนใจคือ เป็นไปตามแผนคลายวิกฤตของ ลูก้า เด เมโอ ซีอีโอใหม่ที่ย้ายจากอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อมาคุม Kering หลังยอดขายตก เพราะกำลังซื้อแบรนด์หรูของชาวจีนลด และมีหนี้ก้อนใหญ่ รวมๆ กันถึงเกือบ 18,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 589,000 ล้านบาท) 

อีกประเด็นที่คนในวงการแบรนด์หรูสนใจดีลนี้คือ เป็นการปรับเปลี่ยนต่อเนื่องของ Kering เพราะก่อนหน้านี้ ก็ได้มีเปลี่ยนแปลงบรรดาผู้บริหาร ทั้งการไปคว้าตัว เด็มน่า กวาซาเลีย กับ ปิแอร์เปาโล ปิคชิโอลี มาเป็น ดีไซเนอร์ใหญ่ของ Gucci กับ Valentino ตามลำดับ 

ประกอบกับตัว ลูก้า เด เมโอ แม้เพิ่งย้ายจาก Renault มาได้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เอง แต่ก็ทำงานอย่างไม่มีรอช้า หลักฐานคือการสั่งขายทิ้ง ปีกธุรกิจความงามรวมถึงน้ำหอมนั่นเอง ขณะที่ประเด็นสุดท้ายที่ทำให้ดีลนี้น่าสนใจ ตกไปอยู่ที่ฝ่ายแบรนด์เครื่องสำอาง 

โดยนี่อาจกล่าวได้ว่าเป็นดีลซื้อกิจการใหญ่สุดของ L’Oréal เพราะเงินที่ทุ่มไปนั้นมากกว่าเงิน 2,500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 82,000 ล้านบาท) ที่ซื้อกิจการ Aesop แบรนด์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสัญชาติออสเตรเลีย เมื่อปี 2023 ไปเรียบร้อย 

ส่วนประโยชน์ที่ L’Oréal ได้นอกจากเพิ่มแบรนด์ใต้ชายคาแล้ว ยังขยายปีกธุรกิจน้ำหอมอีกด้วยจากที่ใช้ชื่อแบรนด์หรูอีกด้วย เพราะครองสิทธิ์ในการผลิตน้ำหอมแบรนด์ Yves Saint Laurent มาตั้งแต่ปี 2008 แล้ว ซึ่งก็ซื้อมาจาก Kering อีกเช่นกัน ผ่านดีล 1,330 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 43,500 ล้านบาท) 

จากทั้งหมดจึงหมายความว่า ต่อไปนี้ Kering ในยุคของ ซีอีโอ ลูก้า เด เมโอ จะเดินหน้าคลายวิกฤตและหันมาเน้นปีกแบรนด์หรู อันเป็นธุรกิจ 

ซึ่งหากสำเร็จผู้ที่ยิ้มกว้างสุดคือ ฟรองซัวส์-อองรี ปีโนต์ มหาเศรษฐีฝรั่งเศสเจ้าของเครือ Kering ที่เห็นว่าเก้าอี้ซีอีโอของตนควรได้ผู้บริหารมืออาชีพมานั่งแทน และน่าจะพาองค์กรก้าวหน้าไปได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ / theguardian, reuters


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer