ตลาดรถยนต์ไทยปี 2025 คาด 600,000 คัน เติบโต 4% ท่ามกลางสงครามราคาอีวีจีนที่เผาเม็ดเงินอุตสาหกรรมทั้งปี ทำให้แม้ยอดขายรวมขยับ แต่มูลค่าตลาดหดตัวชัดเจน ส่วนตลาดกระบะยังถูกกดดันหนักจากเศรษฐกิจอ่อนแรงและไฟแนนซ์เข้มงวด

อ่าน: ส่องรถใหม่มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2025

คุณพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถยนต์รวมสะสมตลอด 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม) ปี 2025 อยู่ที่ราว 500,000 คัน และหากรวมกับยอดสะสมกับที่เหลืออีก 2 เดือนสุดท้าย คาดว่าปีนี้จะแตะ 600,000 คัน เติบโตราว 4% ซึ่งถือเป็นทิศทางที่ดี โดยปัจจัยส่งเสริมมาจากตลาดรถยนต์นั่งกลุ่มเอสยูวีขนาดกลางและรถอีวีที่ยอดขายยังเติบโตบนการแข่งขันที่รุนแรง 

เฉพาะยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือรถอีวี สะสม 10 เดือนแรก อยู่ที่ราว 90,000 คัน ซึ่งมองว่าปีนี้จะมากกว่า 100,000 คันได้อย่างแน่นอน เติบโตราว 16% และคิดเป็นสัดส่วนราว 20% ของตลาดรถยนต์รวม เนื่องจากมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.0 ที่จะสิ้นสุดลงในปี 2025 อันก่อให้เกิดการแข่งขันของสงครามราคาที่รุนแรงมาตลอดปี

บริษัทยังมองว่าทิศทางตลาดรถอีวีในไทยปี 2026 จะยังคงเติบโตแม้ว่า EV 3.0 จะหมดลงไป และมี EV 3.5 เข้ามาแทน ซึ่งจะมีการปรับลดเงินสนับสนุนจากภาครัฐลง แต่ก็ยังมีการผ่อนปรนมาตรการผลิตชดเชยการนำเข้า โดยสามารถนับรวมยอดผลิตสำหรับการส่งออกได้ จากเดิมให้นับเฉพาะยอดผลิตขายในประเทศเท่านั้น ส่วนสำคัญเพื่อบรรเทาการแข่งขันด้านราคาที่ยังรุนแรง  

ส่วนการดำเนินงานของบริษัท ตั้งเป้ายอดขายรถในปีนี้ไว้ที่ราว 25,000 คัน โดยช่วง 10 เดือนแรก มียอดสะสมอยู่ที่ราว 20,000 คัน ซึ่งในงาน บริษัทก็ได้เปิดตัวซีดานเอสยูวีรุ่นใหม่อย่าง MG IM5 EV

นอกจากนั้น ยังได้มีการจัดแสดงกระบะพลังงานทางเลือก MG eTerron 9 เพื่อประเมินผลตอบรับของลูกค้า แต่ก็ยอมรับว่าตลาดกระบะอีวีในไทยยังเป็นเรื่องใหม่มาก เนื่องจากยังไม่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในตลาด  

ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงยังอยู่ในช่วงของการศึกษาและยังพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ นอกเหนือจากอีวีสำหรับพอร์ตรถกระบะ เช่น ไฮบริด

คุณวัลลภ เฉลิมวงศาเวช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถยนต์รวมในไทย ยังคงเผชิญกับสถานการณ์สงครามราคาตลอดปีที่ผ่านมา ทำให้แม้ปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้น แต่มูลค่าตลาดลงลงชัดเจน เนื่องจากรถที่ขายดีส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 500,000-600,000 บาท ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการทำตลาดในกลุ่มรถโดยรวมและรถหรู จากการที่ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อรถ โดยเฉพาะรถไฟฟ้า โดยมองว่ารถใหม่ไม่ควรมีราคาที่สูง ส่วนสำคัญยังมาจากความกังวลว่ารถอีวี หากซื้อมาแล้วอาจจะขายต่อยาก  

ซึ่งภาพรวมตลาดรถในไทยที่อยู่บนความไม่แน่นอน และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น รถรุ่นใหม่ที่เปิดตัวในงานจะขายดีแค่ในช่วงงานนั้นเท่านั้น จากที่เคยขายดีต่อเนื่องสำหรับการจัดงาน 3 ปีติด

ทำให้รถยนต์แต่ละรุ่นในไทย อาจเหลือยอดขายเฉลี่ยต่อรุ่นราวกว่า 1,000 คันต่อปี ซึ่งทำให้การผลิตในประเทศไม่คุ้มทุน และต้องพึ่งพาการนำเข้าจากโรงงานต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งการที่ทั้งเม็ดเงินในตลาดและการผลิตในประเทศที่ลดลง ก็จะยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในระยะยาว

ส่วนการดำเนินงานของบริษัท ยอดขายสะสมตลอด 11 เดือนแรก (มกราคม-พฤศจิกายน) ปี 2025 อยู่ที่ราว 1,900 คัน คาดทั้งปีจะอยู่ที่ราว 2,300 คัน ลดลงราว 35% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 

สาเหตุหลักของสถานการณ์ที่ยากลำบากในปีนี้ของบริษัท มาจากการที่ตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ (เอ็มพีวี – MPV) หรือรถยนต์ครอบครัวประตูสไลด์ ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท ในปี 2025 ประเมินยอดขายอยู่ที่ราว 15,000-19,000 คัน เติบโตราว 60% จากเดิมเฉลี่ยยอดขายอยู่ที่ราว 7,000 – 10,000 คันต่อปี 

ซึ่งการขยายตัวของตลาดรถ MPV มาจากการที่ผู้เล่นในตลาดเข้ามาชิงมาร์เก็ตแชร์มากขึ้น อยู่ที่ราวหลักสิบแบรนด์แล้ว จากเดิมที่มีอยู่ราว 2-3 แบรนด์ โดยเฉพาะกลุ่มแบรนด์จีนที่ทำตลาดรถ MPV พลังงานไฟฟ้า ซึ่งได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีนำเข้าภายใต้มาตรการสนับสนุนรถไฟฟ้าจากรัฐบาล

บริษัทก็ได้ปรับตัวด้วยการใช้กลยุทธ์การทำราคาเพื่อตอบโต้การแข่งขันที่รุนแรง ในตลาดรถ MPV และ รถอีวี สำหรับรุ่นหลักอย่าง Hyundai Staria และ Hyundai IONIQ ตลอดจนการขยายตลาด Staria ไปเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กร และยังตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดรถอีวีกลุ่มประสิทธิภาพสูง (ระบบแรงดันไฟฟ้า 800 โวลต์) ให้ได้ราว 5% ทั้งยังให้ความสำคัญกับตลาดรถเอสยูวีเครื่องยนต์สันดาป เพื่อบาลานซ์ไปกับพอร์ตรถไฟฟ้า

มร. ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด กล่าวว่า ยอดขายตลาดรถยนต์รวมปีนี้ ราว 600,000 คัน ประเมินว่าจะเป็นสัดส่วนของรถกระบะราว 145,000 คัน และรถ PPV ราว 36,000 คัน

เฉพาะตลาดรถกระบะ ยอดขายปีนี้ ยังคงลดลงในระดับเลขสองหลัก จากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในภาวะยากลำบาก โดยดูจากกลุ่มเกษตรกรซึ่งเป็นลูกค้าหลักของบริษัท ซึ่งขณะนี้เผชิญกับสถานการณ์ผลผลิตที่ราคาขายไม่ดี และปริมาณยังมีน้อย ขณะเดียวกัน มาตรการคัดกรองสินเชื่อของไฟแนนซ์ก็ยังคงเข้มงวด และบริษัทก็ยังไม่เห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้

อีกทั้งโอกาสที่ตลาดรถกระบะจะเติบโตในปีหน้า บริษัทก็มองว่ายังอยู่บนความท้าทายจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับตลอดปี 2025

อย่างไรก็ตาม หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่วางไว้ สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรัฐบาลใหม่มีเสถียรภาพพอจะทำให้ประชาชนมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทั้งปัจจัยบวกอย่างเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ก็จะส่ง

ผลดีต่อตลาดสินค้าส่งออกและราคาพืชผลการเกษตร ก็จะเป็นแรงส่งเสริมที่ดีให้ตลาดรถกระบะ

อีกทั้ง รถกระบะอีซูซุไม่ได้ขายเฉพาะในไทย ยังผลิตส่งออกตลาดโลกด้วย และความต้องการในตลาดโลกก็ไม่ได้ลดลง ดังนั้นโดยรวมซัพพลายจึงไม่ได้รับผลกระทบ เพราะการส่งออกโดยรวมยังดีอยู่

การดำเนินงานของบริษัท ยอดขายรถใน 10 เดือนแรก ปี 2025 อยู่ที่ 58,781 คัน แบ่งเป็น รถกระบะดีแมคซ์ 41,301 คัน รถอเนกประสงค์มิว-เอ็กซ์ 9,205 คัน และรถบรรทุกขนาดกลางและใหญ่ 8,275 คัน โดยเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวรถอีซูซุรุ่นใหม่ทั้งดีแมคซ์และมิว-เอ็กซ์ ซึ่งวางเป้าให้เข้ามาเพิ่มยอดขายตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้  

ส่วนแผนงานรถกระบะไฟฟ้า ปัจจุบันโรงงานในไทยมีการผลิตเพื่อส่งออกรถอีซูซุดีแมคซ์ไฟฟ้า 100% ไปในประเทศกลุ่มยุโรปตามแผนการแล้ว แต่ตลาดไทย บริษัทยังต้องรอดูความพร้อมของตลาด ตอนนี้จึงยังไม่มีกรอบเวลาที่แน่นอน สำหรับการทำตลาดรถกระบะไฟฟ้าทั้งกลุ่มอีวีและไฮบริดในไทย

โดยบริษัทยังมั่นใจในศักยภาพของรถกระบะอีซูซุเครื่องยนต์ดีเซล ว่าจะยังสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าคนไทยได้อย่างดี และมองว่าตลาดรถในไทยยังไม่พร้อมสำหรับรถกระบะอีวีในตอนนี้

ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ในไทย ช่วง 7 เดือนแรก (มกราคม – กรกฎาคม) ปี 2025 ยอดขายอยู่ที่ราว 1,000,000 คัน กลุ่มผู้นำตลาดอย่าง ไทยฮอนด้า และ ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ประเมินตรงกันว่ายอดขายทั้งปีจะอยู่ที่ราว 1,700,000 คัน ทรงตัวจากปีที่ผ่านมา ซึ่งในงาน ทั้งสองแบรนด์ก็ได้นำไลน์อัพทั้งรุ่นสแตนดาร์ดไบค์และบิ๊กไบค์มาจัดแสดงและทำราคาส่งเสริมการขาย กระตุ้นตลาดรถสองล้อช่วงท้ายปีต่อเนื่อง   

ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ เปิดเผยว่าความต้องการซื้อของผู้บริโภคในตลาดรถจักรยานยนต์ในไทยยังมีอยู่มาก แต่ก็มีความท้าทายในเรื่องของการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เข้มงวดขึ้น โดยพบว่ายอดปฏิเสธสินเชื่อในตลาดรถจักรยานยนต์ตอนนี้ เพิ่มขึ้นอยู่ที่ราว 60%


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer