ด้วยความที่ไหลผ่านถึง 6 ประเทศ ไล่ตั้งแต่จีนไปจนถึงกัมพูชา และหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนริมฝั่งมากกว่า 70 ล้านคน แม่น้ำโขงจึงเป็นแม่น้ำที่สำคัญต่อประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมาก
แต่ปัจจุบันแม่น้ำสายนี้กำลังเกิดปัญหาใหญ่ขึ้น ซึ่งเมื่อสืบย้อนไปจะพบว่าเกิดจากความต้องการแร่ปริมาณมหาศาล เพื่อผลิตเป็นสินค้าในชีวิตประจำวันของเรา ทั้งสมาร์ตโฟนและรถยนต์ อุปกรณ์ทุกขนาดที่ล้วนต้องใช้ชิปและแผงวงจรในการประมวลผล

สื่อสหรัฐฯ รายงานอิงผลการศึกษาและวิจัยของ Stimson Center ซึ่งเป็นสถาบันคลังสมองร่วมชาติว่า ผลจากความต้องการแร่หายาก (Rare Earth) เพื่อไปใช้ผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีต่าง ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาทำให้เกิดเหมืองขุดและสกัดแร่ขึ้นมากมายตามประเทศที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน โดยเฉพาะเมียนมา
ท่ามกลางการประเมินว่าจำนวนเหมืองเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวอาจมีมากกว่า 2,400 แห่ง ซึ่งมาพร้อมความกังวล เพราะเหมืองเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเหมืองที่ตั้งขึ้นอย่างผิดกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่มีหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมในการกำกับดูแลของรัฐบาลมาควบคุม ทำให้ปล่อยน้ำเสียและสารพิษลงแม่น้ำอย่างไร้ความรับผิดชอบ
มีการคาดว่า สารพิษที่ไหลลงแม่น้ำโขงมีทั้งไซยาไนด์ ปรอท สารหนู และโลหะหนักอื่น ๆ ขณะที่ รีแกน ควาน นักวิเคราะห์วิจัยจาก Stimson Center และหัวหน้าทีมวิจัยกล่าวว่า “มันกำลังสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล ทุกอย่างกำลังสะสมอยู่ที่นี่ ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่หายนะต่อแม่น้ำสายนี้”

ความกังวลเรื่องมลพิษต้นน้ำได้ส่งผลกระทบต่อชุมชนท้ายน้ำ เช่น ชุมชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกกในประเทศไทย ใกล้ชายแดนเมียนมา หลังจากมีรายงานการทดสอบพบสารหนูและแร่อื่น ๆ ในน้ำ ทำให้พวกเขาเริ่มไม่กล้ากินปลาจากแม่น้ำ และไม่แน่ใจว่าจะสามารถกินอาหารที่ปลูกซึ่งใช้น้ำจากแม่น้ำโขงได้หรือไม่
ท่ามกลางความกังวลของนักวิจัยที่ว่า หากมลพิษจากอุตสาหกรรมแร่หายากยังคงเติบโตอย่างควบคุมไม่ได้ อาจนำไปสู่การล่มสลายของระบบนิเวศ โดยผู้ที่อาศัยอยู่ท้ายน้ำจากเหมืองจะมีความเสี่ยงสูงสุดต่อการสัมผัสสารปนเปื้อน
การทำเหมืองที่ไม่มีการตรวจสอบและควบคุมเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การทำรัฐประหารในเมียนมาในปี 2021 รวมถึงราคาทองคำที่สูงขึ้น และความต้องการแร่หายากทั่วโลกได้ผลักดันให้มีเหมืองใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมาก
นอกจากปริมาณความต้องการแร่ในตลาดโลกแล้ว การขายแร่เพื่อนำไปใช้เป็นเงินในการต่อสู้ชิงพื้นที่กันก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เหมืองผิดกฎหมายเหล่านี้ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และแร่เกือบทั้งหมดจะถูกส่งไปจีน .
แร่ที่ถูกขุดในเมียนมาจะถูกส่งออกไปยังประเทศจีนเพื่อทำการแปรรูปต่อไป และความเกี่ยวข้องของจีนเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มกระบวนการ เพราะเหมืองเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็บริหารจัดการโดยชาวจีน และจีนก็สามารถควบคุมผลผลิตแร่หายากที่ผ่านการกลั่นแล้วมากกว่า 90% ของโลก

รายงานชิ้นนี้สรุปทิ้งท้ายอิงทัศนะของนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ว่า ถ้าไม่มีการบริหารจัดการและควบคุมที่ดี ผลเสียที่เกิดจะมหาศาล โดยนอกจากชีวิตความเป็นอยู่ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม การส่งออกสินค้าเกษตรและประมงจากแม่น้ำโขงไปยังต่างประเทศแล้ว จะยิ่งทำให้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนขยายวงกว้างอีกด้วย / cnn
