ในแต่ละปี เราจะสังเกตุได้ว่ารัฐบาลมีโครงการหลายอันที่ออกมาช่วยกระจายเม็ดเงินสู่ฐานรากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่หลายๆ โครงการนั้นจำเป็นต้องมีตัวกลางในการเชื่อมรัฐบาลเข้ากับประชาชน
ธนาคารกรุงไทยถือเป็นหนึ่งในเจ้าหลักที่เป็นคนเชื่อมระบบเหล่านี้เข้าด้วยการผ่านแอปฟิเคชั่นหลักอย่าง เป๋าตัง ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 40 ล้านคนแล้ว
ธนาคารกรุงไทยนั้นเกิดจากแก้ปัญหาธนาคารในเวลานั้น ปรับตัวไปกับเศรษฐกิจ ขยายทรัพย์สิน สาขา พนักงาน สินค้า และพัฒนาเทคโนโลยี จนกลายเป็นธนาคารเบอร์ต้นๆ ของไทย
โดยจุดเริ่มต้นของธนาคารกรุงไทย เกิดจากการควบรวมสองธนาคารรัฐ ธนาคารมณฑล และ ธนาคารเกษตร
ย้อนกลับไปในปี 2485 ธนาคารมณฑล จำกัด ได้ก่อตั้งขึ้น (เดิมชื่อ ธนาคารไทย จำกัด) จุดประสงค์หลักคือทดแทนสาขาธนาคารพาณิชย์ต่างชาติที่ต้องหยุดชะงักภายหลังกองทัพญี่ปุ่นเดินทัพเข้าสู่ไทย
รัฐบาลจึงจัดตั้งธนาคารขึ้นมาเพื่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและไม่ให้การค้าระหว่างประเทศมีผลกระทบในช่วงสงคราม
แต่ในภายหลัง ธนาคารพบกับปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง มีหนี้เสียจำนวนมาก และเงินสดไม่พอจ่ายเงินฝาก ถึงขั้นที่หน่วยราชการต่างๆ เช่น โรงงานยาสูบ ต้องนำเงินมาฝากเพื่อช่วยให้กิจการดำเนินต่อไปได้
ส่วน ธนาคารเกษตร ก่อตั้งเมื่อปี 2493 โดยเน้นให้บริการเกษตรกรเป็นหลัก ก่อตั้งโดยขุนนาง พ่อค้าไทย และพ่อค้าชาวจีน
ธนาคารเกษตรเคยเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย สาเหตุหลักมาจากการขยายสาขารวดเร็วเกินไป โดยปราศจากการบริหารสภาพคล่องที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทำให้เปลี่ยนมือมาเป็นธนาคารของรัฐในภายหลัง
ในช่วงปี 2508 จากปัญหาที่สะสมมาต่อเนื่อง การจะทำให้ทั้งสองธนาคารกลับมามั่นคงได้เหมือนเดิมต้องใช้เวลา ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเสนอพร้อมกับรัฐบาลที่ต้องการมีธนาคารพาณิชย์รัฐวิสาหกิจเพียงแห่งเดียว ท้ายสุดจึงควบรวมกัน และเปลี่ยนชื่อเป็น ธนาคารกรุงไทย โดยมีเป้าหมายหลักในเวลานั้นคือการกู้คือความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบการเงิน
ณ เวลาที่ควบรวมนั้น ธนาคารกรุงไทยมีสินทรัพย์เพียง 4,500 ล้านบาท 79 สาขา และพนักงานเพียง 1,250 คน
เติบโตผ่านการปล่อยกู้แก่กลุ่มรัฐวิสหกิจเป็นหลักในช่วงต้น และขยายมาสู่การปล่อยกู้ลูกค้ารายย่อยในภายหลัง จนสามารถเข้าตลาดหุ้นได้ในปี 2532 เพื่อให้อยู่ภายใต้กลไกการตรวจสอบของตลาดทุน
และหากข้ามมาในปัจจุบัน จะเห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดภายในเวลาเกือบ 60 ปีที่ผ่านมา
ในไตรมาสล่าสุด ธนาคารกรุงไทยมีสินทรัพย์ 3.8 ล้านล้านบาท สาขาจำนวน 927 สาขา และพนักงานราว 18,000 คน
จนวันนี้ กรุงไทยขึ้นมาเป็น Top 4 ในด้านรายได้ กำไร และสินทรัพย์เมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ แล้ว
และหนึ่งในบทบาทใหม่ที่ธนาคารกรุงไทยได้รับมอบหมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือการเป็นเชื่อมโยงรัฐบาลเข้ากับประชาชนด้วยกันผ่านระบบเทคโนโลยีที่กรุงไทยพัฒนามา
โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต เช่น โควิด-19 ที่ กรุงไทยได้พัฒนาระบบจำนวนมากเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจผ่านการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน และเป็นระบบที่ช่วยกระจายเม็ดเงินสู่ฐานราก
พร้อมกับผลงานอื่นๆ ที่ช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญ เช่น:
การจัดการโครงการรัฐบาลขนาดใหญ่ กรุงไทย ได้รับมอบหมายให้พัฒนาระบบลงทะเบียนโครงการ เราไม่ทิ้งกัน ที่ต้องรองรับผู้ลงทะเบียนหลายสิบล้านคน และพัฒนาแพลตฟอร์มการใช้จ่ายผ่านบัตรประชาชนสำหรับคนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนในโครงการ เราชนะ
การพัฒนาแอปพลิเคชัน เป๋าตัง เริ่มต้นเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัล แต่ค่อยๆ ขยายบทบาทเป็น
- กระเป๋าสุขภาพ (Health Wallet) ที่แจ้งว่าเรามีสิทธิที่รัฐบาลให้อะไรบ้าง มีโควต้ายาเท่าไหร่ สามารถไปเบิกที่ไหนได้บ้าง
- เชื่อมโยงกับบริการการศึกษา (กยศ.) และ เชื่อมต่อกับมหาลัยต่างๆ ในการชำระค่าเทอม จดบันทึกการเข้าเรียนได้
- เชื่อมกับกระทรวงยุติธรรมเพื่อให้สามารถยื่นเอกสารออนไลน์ได้ง่ายสะดวก
- และเป็นส่วนหลักในการทำโครงการคนละครึ่งขึ้นมา จนมีผู้ใช้งานมากกว่า 40 ล้านคน
นอกจากนี้ การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลยังทำให้ภาครัฐมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่เป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์เพื่อสนับสนุนโครงการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยให้สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำและตรวจสอบได้
ธนาคารกรุงไทย คือเรื่องราวของธนาคารที่ควบรวมกันเพื่อแก้ปัญหาความเชื่อมั่น สู่บทบาทของ ธนาคารที่เชื่อมโยงนโยบายของรัฐกับเทคโนโลยีดิจิทัล
