ช่วงครึ่งหลังปี 2025 อินโดนีเซีย เผชิญ น้ำท่วมใหญ่ ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกคือที่บาหลี ส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรเสียหาย เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยวที่ถือเป็นรายได้หลัก และยังทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 7 คน ส่วนครั้งที่ 2 คือที่เกาะสุมาตรา ซึ่ง คร่าชีวิต ผู้คนไปมากถึงกว่า 400 คน

อุทกภัยใหญ่ทั้ง 2 ครั้งนี้เป็นการสะท้อนปัญหาใหญ่ของอินโดนีเซีย นั่นคือ แม้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยถึงปีละ 5% ทว่าพัฒนาการทั้งหมด ก็แลกมาด้วยทรัพยากรธรรชาติมหาศาลที่หายไป ซึ่งย้อนกลับมาทำร้ายประเทศ จนกล่าวได้ว่า นี่คือหนึ่งในประเทศที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา อินโดนีเซียได้แผ้วถางป่ากว้างใหญ่ เพื่อเปลี่ยนเป็นพื้นที่ปลูกพืชสำหรับอุตสาหกรรมกระดาษ การขุดแร่ และปลูกต้นปาล์มเพื่อผลิตน้ำมันปาล์ม ขณะเดียวกัน ยังมีการทำเหมืองถ่านหินอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จนขึ้นมาเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม ครองสัดส่วน 55% ของตลาดโลก และผู้ส่งออกถ่านหินรายใหญ่ที่สุดของโลก
แต่ผลเสียที่ตามมาก็มหาศาล โดยนอกจากพื้นที่ป่ามากมายที่หายไปแล้ว ยังทำให้อินโดนีเซียกลายมาเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าโดยเฉลี่ย 1,500 ล้านตันต่อปี หรือประมาณ 3.5% ของการปล่อยก๊าซทั่วโลก
จากสถานการณ์ดังกล่าวนักสิ่งแวดล้อมได้ออกมาเตือนว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ อินโดนีเซียต้องจริงจังในการแก้ปัญหา ซึ่งสิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือลดการ ทำลายป่า โดยภาพถ่ายจากดาวเทียมเผยให้เห็นจุดที่มีการทำลายป่าและไฟป่าแห่งใหม่ ในสุมาตราใต้และกาลิมันตันกลาง

ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ควรชะลอหรือบริหารจัดการโครงการอาหารขนาดใหญ่ ให้ดี เพราะมีการแผ้วถางป่าฝนในปาปัวและกาลิมันตัน และขยายการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพจากน้ำมันปาล์ม โดยหากทำได้ จะช่วยรักษาให้ป่าฝนเขตร้อนที่ยังคงเหลืออยู่ถึง 10% ของโลก และมีพื้นที่พรุเขตร้อนมากที่สุดในโลก ซึ่งคาดว่ามีคาร์บอนสะสมอยู่หลายหมื่นล้านตัน ยังคงอยู่ต่อไป
สิ่งที่ต้องทำอย่างถัดมาคือ เลิกคิดแบบใช้กิจการถ่านหินนำ โดยแม้ว่าจะมีการระงับการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ตามเอกสาร แต่ Putra Adhiguna จาก Energy Shift Institute ซึ่งเป็นองค์กรคลังสมองอิสระของอินโดนีเซียกล่าวว่า มี ช่องโหว่ ที่อนุญาตให้สร้างโรงไฟฟ้าแบบ “captive” (โรงไฟฟ้าที่ใช้โดยผู้ใช้ทางอุตสาหกรรมรายเดียว) เพื่อป้อนพลังงานให้กับโรงถลุงนิกเกิลและโครงการอุตสาหกรรม
นักสิ่งแวดล้อมยังระบุด้วยว่า แม้รัฐบาลอินโดนีเซียอ้างว่าต้องการเข้าร่วมการเปลี่ยนแปลงไปสู่พลังงานสะอาดทั่วโลก แต่ นโยบายและการลงทุนยังคงผูกมัดประเทศไว้กับเชื้อเพลิงฟอสซิลไปอีกหลายทศวรรษ
ขณะที่ปัจจุบันพลังงานหมุนเวียนมีสัดส่วนน้อยกว่า 15% ของส่วนผสมพลังงาน ทั้งที่มีศักยภาพมหาศาล และโครงการ Just Energy Transition Partnership (JETP) ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญา 20,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 640,000 ล้านบาท) จากประเทศร่ำรวยเพื่อเร่งการเลิกใช้ถ่านหิน ก็ หยุดชะงัก อยู่ในระบบราชการ
จากทั้งหมดที่กล่าว มา จึงสรุปได้ว่า หากรัฐบาลอินโดนีเซียไม่จริงจังใน การ แก้ไข ปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทั้งน้ำท่วม แผ่นดินทรุด และมลพิษต่างๆ อาจจะยังมีอยู่ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดพบแนวโน้มที่ดี โดยมีรายงานว่า รัฐบาลอินโดนีเซีย ประกาศจะตรวจสอบกิจการเหมืองในเกาะสุมาตราครั้งใหญ่ เพราะมีการวิเคราะห์ว่า เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สถานการณ์น้ำท่วมครั้งล่าสุดนั้นรุนแรง / theguardian, antaranews
