หากจะมีเมืองไหนในกลุ่มประเทศสมาชิก ASEAN ที่เผชิญกับปัญหาการท่องเที่ยวที่มากเกินไปจนก่อผลเสีย (Overtourism) มากที่สุด คงต้องเป็น บาหลี ซึ่งข่าวก็มีออกมาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด ปัญหาก็กลายเป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะมีส่วนทำให้เกือบ 20 คนต้องเสียชีวิต จนฝ่ายปกครองของเมืองท่องเที่ยวชื่อดังทางตะวันตกสุดของอินโดนีเซียแห่งนี้ ต้องออกมาตรการแก้ไขอย่างจริงจัง
ฝ่ายปกครองบาหลีประกาศห้ามการก่อสร้างโรงแรมและร้านอาหารแห่งใหม่บนพื้นที่นาข้าวและที่ดินเพื่อการเกษตรในบาหลี หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 18 ราย

มีการประกาศภาวะฉุกเฉินในบาหลีเมื่อวันที่ 10 กันยายน หลังจากเกาะแห่งนี้ประสบเหตุน้ำท่วมรุนแรงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ โดยฝนที่ตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน สร้างความเสียหายอย่างหนักแก่บ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการสร้างอาคารต่าง ๆ อย่างหนาแน่นบนเกาะบาหลีเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำท่วมรุนแรงขึ้น เพราะอาคารเหล่านี้ขวางทางไหลของน้ำและระบบระบายน้ำ ดังนั้นการตัดสินใจครั้งนี้จึงเป็นความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สะสมมานานจากจำนวนนักท่องเที่ยวและสิ่งปลูกสร้างที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นายวายัน กอสเตอร์ ผู้ว่าฯ บาหลี กล่าวว่า ได้มีการออกกฎระเบียบใหม่และมีคำสั่งไปยังเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้ยุติการออกใบอนุญาตสำหรับโรงแรม ร้านอาหาร และสิ่งก่อสร้างเชิงพาณิชย์อื่น ๆ บนที่ดินเพื่อการเกษตร โดยเริ่มตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป และภายในปี 2025 จะไม่มีการเปลี่ยนที่ดินทำกินให้เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์อีก
สำหรับบาหลี ถือเป็นตัวอย่างของแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของ ASEAN ที่พยายามหาทางบริหารจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพราะแม้จะถือเป็นหนึ่งในรายได้หลักของเมือง แต่หลังพ้นช่วงโควิดเป็นต้นมา นักท่องเที่ยวก็ทะลักเข้ามาจนเกิด Overtourism

แน่นอนว่าฝ่ายปกครองไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้มีการออกมาตรการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง เช่น เก็บค่าเหยียบแผ่นดินเพิ่ม, เพิ่มความเข้มงวดด้านการจราจร, ป้องปรามพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว, กำชับให้สถานบันเทิงปิดเร็วขึ้นและอย่าส่งเสียงดังเกินไป
แต่ก็ดูเหมือนว่ายังไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง หรือเมื่อประกาศใช้ไปแล้วก็หละหลวมในการตรวจตราสอดส่อง จึงต้องจับตากันต่อไปว่ามาตรการสั่งห้ามสร้างโรงแรมและร้านอาหารใหม่บนพื้นที่เพาะปลูก จะมีการบังคับใช้อย่างจริงจังแค่ไหน
สำหรับปัญหาน้ำท่วมที่บาหลีนั้นรุนแรงขึ้นทุกปี ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เริ่มจากการแผ้วถางไร่นาและป่าไม้เพื่อสร้างโรงแรม ร้านอาหาร และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ เพื่อการท่องเที่ยว
ต่อด้วยการที่สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้สร้างขึ้นอย่างแออัดและมากมายจนไปปิดทางระบายน้ำ ดังนั้นเมื่อฝนที่มากอยู่แล้วจากภาวะโลกร้อนกระหน่ำลงมา น้ำจึงรอระบายนานและท่วมขัง จึงเกิดน้ำท่วมบ่อย ๆ และยังหนักขึ้นทุกปีอีกด้วย
ด้านรัฐบาลอินโดนีเซียก็จับตาดูสถานการณ์การท่องเที่ยวในบาหลีที่เกิดปัญหาขึ้นไม่หยุดหย่อนอยู่เช่นกัน โดยได้มีการศึกษาเพื่อหาทางออก นำมาสู่การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ 5 แห่ง ภายใต้งบประมาณ 1,260 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 41,000 ล้านบาท) ตามแผนกระจายนักท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ เพื่อลดการพึ่งพาบาหลีด้านการท่องเที่ยว

โดยหากสำเร็จ นอกจากจะเป็นการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวแล้ว ยังทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวต่างชาติมายังบาหลีน้อยลง จนสามารถบริหารจัดการได้ดีขึ้นและปัญหา Overtourism น่าจะทุเลาเบาบางลงไป
มาตรการล่าสุดในบาหลีมีขึ้นขณะที่เมืองท่องเที่ยวดังแห่งอื่น ๆ ของเอเชียก็เผชิญปัญหา Overtourism จนต้องออกมาตรการแก้ไขเช่นกัน
ที่เกาะเชจูของเกาหลีใต้ ได้มีการออกกฎเพื่อป้องปรามพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเป็นครั้งแรกของประเทศ หลังชาวเมืองทนพฤติกรรมแย่ของนักท่องเที่ยวบางส่วนไม่ไหว
โดยออกเป็น 3 ภาษา คือ เกาหลี จีน และอังกฤษ ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกปรับเป็นเงินสูงสุดเทียบเป็นเงินไทยได้ประมาณ 4,000 บาท
ท่ามกลางรายงานว่าชาวเกาหลีใต้หลายหมื่นคนได้ลงชื่อเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลระงับแผนการอนุญาตให้ชาวจีนเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่าเป็นเวลา 15 วัน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เพราะเริ่มทนไม่ไหวกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวจีนในปัจจุบัน / theguardian
