กลางปี 2026 ที่จะถึงนี้ แฟนฟุตบอลทั่วโลกจะได้สัมผัสกับมหกรรมฟุตบอลโลกอีกครั้ง ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ที่สร้างปรากฏการณ์ “ครั้งแรก” หลายอย่าง เริ่มต้นจากการมีเจ้าภาพร่วมถึง 3 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก

ตามด้วยการเพิ่มจำนวนทีมชาติที่เข้าร่วมแข่งขันเป็น 48 ทีม ส่งผลให้จำนวนแมตช์แข่งขันรวมเพิ่มขึ้นเป็น 80 นัด
ล่าสุด สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกเช่นกัน นั่นคือ การเพิ่มช่วง พักดื่มน้ำ (Hydration Break) เป็นเวลา 3 นาที ในการแข่งขันทุกนัด
มาตรการใหม่นี้กำหนดให้มีการหยุดเกมเมื่อการแข่งขันดำเนินมาถึงนาทีที่ 22 ของแต่ละครึ่ง เพื่อดูแลสวัสดิภาพของนักกีฬา และป้องกันภาวะขาดน้ำท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัดในประเทศแถบอเมริกาเหนือช่วงกลางปี 2026

FIFA ระบุว่า การพักดื่มน้ำนี้อาจมีความยืดหยุ่นได้เล็กน้อย หากมีการหยุดเกมจากการบาดเจ็บในช่วงเวลานั้น โดยจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ตัดสินในสนามเป็นสำคัญ
การตัดสินใจครั้งนี้มีพื้นฐานมาจากความกังวลเกี่ยวกับความร้อน โดยมีรายงานคาดการณ์ว่า อุณหภูมิเฉลี่ยในสนามแข่งขันอาจสูงเกิน 30 องศาเซลเซียส และมีสนามที่ใช้จัดแข่งขันถึง 10 จาก 16 แห่งที่มีความเสี่ยงสูงต่อสภาวะความเครียดจากความร้อน
ประกอบกับการที่นักกีฬาบางคนในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกที่สหรัฐฯ เมื่อกลางปี 2025 แสดงอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัดจากสภาพอากาศร้อนจัด
การเพิ่มช่วงพักดื่มน้ำ 3 นาที 2 ครั้งนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจขึ้นมา คือ ส่งผลให้เกมการแข่งขันถูกแบ่งออกเป็น 4 ช่วง หรือ “ควอเตอร์” คล้ายกับรูปแบบการแข่งขันกีฬาอาชีพในสหรัฐฯ เช่น บาสเก็ตบอล NBA และอเมริกันฟุตบอล NFL
นอกจากนี้ การหยุดเกมที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลดีในทางธุรกิจ โดยเปิดโอกาสให้ฝ่ายจัดการถ่ายทอดสดทั้งหน่วยงานรัฐและสถานีโทรทัศน์สามารถขายโฆษณาได้มากขึ้นในช่วงพักดังกล่าว
ปัญหาอากาศร้อนจัดระหว่างแมตช์แข่งขันเป็นประเด็นที่ FIFA พยายามหาทางแก้ไขมานานแล้ว โดยทุกครั้งที่ฟุตบอลโลกจัดขึ้นในช่วงฤดูร้อนของประเทศเขตร้อน ปัญหานี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอ เช่น ฟุตบอลโลกปี 1994 ที่สหรัฐฯ และในปี 2014 ที่บราซิล ซึ่งศาลบราซิลเคยมีคำสั่งให้ FIFA ต้องจัดให้มีการพักดื่มน้ำ

มีการวิเคราะห์ว่า หากสภาพอากาศยังคงเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในช่วงกลางปี ฟุตบอลโลกในครั้งต่อ ๆ ไปอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนไปจัดในช่วงฤดูหนาว ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับฟุตบอลโลกปี 2022 ที่กาตาร์
จากสถานการณ์นี้นำมาสู่คาดการณ์ว่า ฟุตบอลโลกปี 2030 ที่ สเปน โปรตุเกส และโมร็อกโกเป็นเจ้าภาพร่วมกัน) และปี 2034 ที่ซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพ อาจต้องเปลี่ยนไปจัดในช่วงฤดูหนาวเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แม้การปรับใช้ระบบควอเตอร์จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพนักกีฬาและธุรกิจ แต่ก็มีข้อเสีย เพราะการหยุดเกมบ่อยครั้งอาจทำให้การแข่งขันขาดความต่อเนื่องและลดอรรถรสในการรับชมลงไป / theguardian
