มีเรื่องให้กล่าวถึงมากมายในมหกรรมกีฬาแต่ละครั้ง โดยเมื่อครั้งหนึ่งจบไป เจ้าภาพครั้งต่อไปก็ถูกจับตามองแทบจะทันที

เช่น ช่วงท้ายของพิธีปิดโอลิมปิกปี 2016 ที่ อดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ลงทุนแต่งตัวเป็น Mario ตัวละครในเกมดังชื่อเดียวกันของญี่ปุ่น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการรับไม้ต่อการเป็นเจ้าภาพครั้งต่อมาของกรุงโตเกียวในปี 2021

และการที่กรุงปารีสเผยแผนยิ่งใหญ่มากมายสำหรับโอลิมปิกครั้งต่อไปในปี 2024 เช่น จัดลู่วิ่งกลางแม่น้ำ สนามกีฬากลางแจ้งที่ฉากหลังเป็นหอ Eiffel และแข่งขี่ม้าที่หน้าพระราชวัง Versailles
ด้านฟุตบอลโลก แม้เป็นกีฬาที่แข่งกันแค่ฟุตบอล แต่ประเทศเจ้าภาพก็ถูกจับตามองตลอด อย่าง 2 ครั้งในเอเชีย ที่เมื่อปี 2002 ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้จัดร่วมกัน
และในปี 2022 ที่เพิ่งจบลง ซึ่งกาตาร์จัดให้ทุกสนามอยู่ในบริเวณใกล้กัน และยังทุ่มงบมหาศาลในการจัดโดยเฉพาะการสร้างสนามขึ้นมาใหม่มากมาย

ฟุตบอลโลกครั้งต่อไปในปี 2026 ยิ่งทวีความน่าสนใจขึ้นไปอีกโดยเฉพาะในด้านปริมาณ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่มี 3 ประเทศเป็นเจ้าภาพร่วมกัน

สหรัฐ แคนาดา และเม็กซิโก ผนึกกำลังจัดร่วมกัน โดยมีรายละเอียดน่าสนใจอยู่ที่สนามที่เตะมี 16 สนาม มากสุดที่สหรัฐฯ 11 สนาม และสหรัฐฯ จะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกครั้งที่ 2 ถัดจากปี 1994

ด้านเม็กซิโก มีสนามใช้แข่ง 3 สนาม แต่ก็จะเป็นประเทศแรกในโลกที่ได้จัดฟุตบอลโลก 3 ครั้ง ส่วนแคนาดาได้จัดแข่ง 2 สนาม ซึ่งจากการเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ทั้ง 3 ประเทศได้ผ่านเข้ารอบมาโดยอัตโนมัติ
ประเด็นต่อมาที่น่าสนใจสำหรับฟุตบอลโลกปี 2026 คือ ไม่ได้มีการสร้างสนามขึ้นมาใหม่เลย ตรงข้ามกับฟุตบอลโลกที่กาตาร์ที่ต้องสร้างสนามใหม่ขึ้นหลายแห่ง

ในจำนวนสนามแข่งของฟุตบอลโลกครั้งต่อไป Rose Bowl ในเมืองลอสแองเจลิส เป็นสนามเก่าแก่สุดในฟุตบอลโลกครั้งต่อไป เพราะเมื่อถึงปี 2026 จะมีอายุถึง 104 ปี
ขณะที่ Mercedes-Benz ในเมืองแอตแลนตาเป็นสนามใหม่สุด เพราะเพิ่งสร้างเสร็จและเปิดใช้งานในเมื่อปี 2017
อีกประเด็นที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ และน่าสนใจมากสุดคือ จำนวนทีมที่ได้เข้ามาแข่งจากเดิมมี 32 จะเพิ่มเป็น 48 ทีม ซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้จำนวนนัดที่เตะเพิ่มขึ้นด้วย จาก 64 เป็น 80 นัด
ซึ่งแน่นอนว่า จำนวนทีมในแต่ละโซนที่ได้ผ่านเข้ารอบมาจะเพิ่มขึ้นด้วย เช่น โซนเอเชีย ที่เดิมมี 6 จะเพิ่มเป็น 8 ทีม และแอฟริกาที่เดิมมี 5 จะเพิ่มเป็น 9 ทีม

ส่วนรูปแบบการแบ่งกลุ่มก็จะแบ่งสายเป็น 16 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ทีม โดย 2 ทีมที่คะแนนดีสุดจะผ่านเข้ารอบต่อไป และทั้งหมดจะกลับมาแข่งช่วงกลางปีแบบเดิมเหมือนที่เคยเป็นมา
ส่วนประเด็นสุดท้ายที่ต้องจับตามองคือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเม็ดเงินที่ FIFA จะได้ไป โดย 3 ประเทศเจ้าภาพจะทำเงินได้ไปอย่างเป็นกอบเป็นกำเพราะไม่ต้องทุ่มงบสร้างสนามใหม่
โดยมีการประเมินกันว่า น่าจะมีเงินสะพัดกระจายเข้าสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก รวม ๆ กันสูงถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 174,000 ล้านบาท) ตลอดทัวร์นาเมนต์เลยทีเดียว

ขณะที่ FIFA น่าจะเก็บค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดและค่าสปอนเซอร์ได้ครั้งใหญ่ โดยในส่วนของเม็ดเงินอย่างหลังคงจะเพิ่มขึ้นอีกมาก และสินค้ากับกิจกรรมการตลาดต่าง ๆ คงไม่ติดปัญหาอะไรอีก

เหมือนปัญหาการห้ามขายเบียร์ในกาตาร์ที่ทำ Budweiser ไม่พอใจ ต้องแก้เกมด้วยการขายเบียร์ไร้แอลกอฮอล์แทน พร้อมขู่ถอนสปอนเซอร์ จนกลายเป็นข่าวใหญ่/cnn


–
