เอส แอนด์ พี ดึง ‘วิงสต๊อป’ ลุยตลาดไก่ทอดในกลุ่ม QSR มูลค่า 30,000 ล้าน มุ่งเจาะกลุ่ม Gen Z ผ่านการสร้างแบรนด์ที่เน้นทั้งรสชาติและประสบการณ์ ด้วยเมนูไก่ทอดหลากรส และการทำการตลาดที่สร้างการปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน เริ่มประเดิมสาขาแรก ชั้น 2 ศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์
ตลาดไก่ทอดในกลุ่ม Quick Service Restaurant (QSR) ของไทยมีมูลค่าสูงถึง 30,000 ล้านบาท อัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 8-10% ต่อปี ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูง จึงดึงดูดผู้เล่นหน้าใหม่ให้เข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งอยู่เสมอ
บมจ. เอส แอนด์ พี ซินดิเคท หรือ เอส แอนด์ พี (S&P) คือรายล่าสุดที่กระโดดลงมาเล่นในสมรภูมิตลาดไก่ทอด ด้วยการคว้าสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ ‘วิงสต๊อป’ (Wingstop) แบรนด์ไก่ทอดชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา ที่มีกว่า 3,000 สาขาทั่วโลก ไทยจะเป็นประเทศที่ 18 ของโลก และประเทศที่ 5 ในเอเชีย ที่แบรนด์เข้ามาทำตลาด โดยจะดำเนินงานภายใต้การจดทะเบียนบริษัท เอส แอนด์ พี วิง จำกัด หรือ S&P Wing
ซึ่ง เอส แอนด์ พี ก็ได้ส่งมอบการบริหารงานให้กับผู้บริหารรุ่นใหม่อย่าง คุณปราการ ไรวา ที่นั่งแท่นในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารของวิงสต๊อป ประเทศไทย เสริมทัพด้วย คุณศิวกร เบญจราชจารุนันท์ ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป

คุณปราการ ไรวา กล่าวว่า การทำตลาดของวิงสต๊อปในไทยจะไม่ได้วางตำแหน่งตัวเองอยู่ในธุรกิจขายไก่ทอดเพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นการสร้างแบรนด์อาหารที่ขายทั้งรสชาติและประสบการณ์
วิงสต๊อปวางกลยุทธ์สำคัญคือการนำเสนอรสชาติใหม่ ๆ สู่ตลาดกับเมนูไก่ทอด ทั้งปีกไก่, ไก่ไม่มีกระดูก, ไก่สันใน รวม 9 รสชาติ โดยมีการปรับรสให้มีความจัดจ้านมากขึ้น และสามารถเลือกระดับความเผ็ดที่ต้องการได้ ตอบโจทย์การทานอาหารของคนไทย
ทั้งเน้นคุณภาพด้วยการทำอาหารตามออเดอร์ จึงทอดสดใหม่จานต่อจาน ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะได้รับไก่ทอดที่สดใหม่ที่สุดแม้จะต้องรอ 6-8 นาทีก็ตาม ทั้งเสิร์ฟพร้อมซอสจิ้มซิกเนเจอร์ของแบรนด์
วิงสต๊อปวางตำแหน่งราคาเริ่มต้นที่ชุดละ 159-169 บาท และคาดการณ์ยอดใช้จ่ายต่อบิลเฉลี่ยจะอยู่ที่ราว 350-400 บาท สำหรับลูกค้า 2 คน
วิงสต๊อป ได้วางตำแหน่งกลุ่มเป้าหมายชัดเจนคือ Gen Z (อายุ 11-26 ปี) ซึ่งก็เดินหน้าสร้างการรับรู้แบรนด์มาต่อเนื่องผ่านการฟังเสียงของผู้บริโภค และนำอินไซต์มาพัฒนาการตลาดที่จับต้องได้ด้วยการปฏิสัมพันธ์ที่น่าสนใจ
เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z ไม่ใช่เพียงผู้รับสาร หรือเป็นเพียงผู้เฝ้าดูแบรนด์อย่างเดียว แต่พวกเขาพร้อมจะมีความคิดเห็นสะท้อนมายังแบรนด์ได้เสมอ ดังนั้น ตั้งแต่วิงสต๊อปยังไม่เปิดบริการอย่างเป็นทางการ
วิงสต๊อปก็ได้ทำกิจกรรมที่ทำให้ประสบการณ์จากแบรนด์เป็นสื่อกลางในการสะท้อนความคิดเห็นของ Gen Z และแบรนด์นำมาปรับตัวอยู่เสมอ
ตัวอย่างเช่น ป้ายพูดได้ ที่นอกจากจะทำหน้าที่สื่อสารว่าวิงสต๊อป จะมาเปิดบริการในประเทศไทยแล้ว ยังเป็นป้ายที่ตั้งใจสร้างบทสนทนาของ Gen Z ในโซเชียลมีเดียที่มีต่อแบรนด์
เมื่อแบรนด์ทราบว่าแฟน ๆ วิงสต๊อป ตื่นเต้นที่แบรนด์จะมาเปิดบริการในประเทศไทย แต่ไม่อยากรอนาน ป้ายนี้จึงสื่อสารกลับไปว่าแบรนด์ได้ยินแล้วว่าแฟน ๆ ไม่อยากรอนานข้ามปี เดี๋ยวแบรนด์จัดให้ เพื่อให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมและรู้สึกว่าวิงสต๊อปเป็นแบรนด์ที่สร้างมาจากเสียงของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
อีกทั้งปี 2026 วิงสต๊อปจะเดินหน้าสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่ม Gen Z ผ่านการทำการตลาดแบบคอลแล็บส์กับแบรนด์ในกลุ่มเกมมิ่งและมิวสิค ซึ่งมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และสอดคล้องกับตำแหน่งการทำการตลาดที่แบรนด์แข็งแรงอยู่แล้วในตลาดโกลบอล
วิงสต๊อป ได้เลือกเปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ ชั้น 2 ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคมนี้ เป็นต้นไป เนื่องจากมองว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เข้าถึงง่าย จากการเป็นศูนย์กลางของเมือง และเป็นจุดรวมตัวของกลุ่มเป้าหมายหลักทั้ง Gen Z และนักท่องเที่ยว ส่วนการตกแต่งร้านจะให้มีบรรยากาศเหมือนมาแฮงก์เอาท์
ทั้งมีแผนการขยายสาขาให้ครบ 7 แห่ง ภายในปี 2026 เน้นทำเลในกรุงเทพฯ เป็นหลัก พร้อมวางเป้าหมายรายได้รวมตลอดปีหน้า ไว้ที่ราว 100 ล้านบาท ซึ่งการที่แบรนด์อยู่ภายใต้กลุ่มเอส แอนด์ พี ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจร้านอาหารมากว่า 50 ปี ทำให้ได้เปรียบเรื่องการบริหารจัดการระบบหลังบ้าน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของวิงสต๊อปได้ในระยะยาว
ส่วนแผนงานเดลิเวอรี วางไว้ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2026 เนื่องจากต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์กับลูกค้าผ่านประสบการณ์ภายในร้านก่อนในช่วงแรก
นอกจากนั้น วิงสต๊อปจะเป็นสะพานสำคัญในการขยายไปยังฐานลูกค้ากลุ่ม Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์เอส แอนด์ พี ก็กำลังเดินหน้าเข้าถึงเช่นกัน
