ครั้งหนึ่ง แลปแลนด์ ทางตอนเหนือสุดของฟินแลนด์ เคยเป็นเพียงดินแดนในจินตนาการที่เด็กทั่วโลกเชื่อว่าเป็นบ้านของซานตาคลอส แต่ปัจจุบันพื้นที่นี้กลับกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตระดับโลก โดยปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวแห่กันไปเยือนกว่า 700,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจเพราะพุ่งสูงขึ้นถึง 160% เมื่อเทียบกับ 30 ปีที่แล้ว
การเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้กำลังทิ้งรอยแผลขนาดใหญ่ไว้ให้แก่สิ่งแวดล้อม และสะท้อนถึงปัญหา “ภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง” (Overtourism) ที่กำลังคุกคามแหล่งท่องเที่ยวดังทั่วโลก

จากการวิเคราะห์เชิงลึกภายใต้โปรเจกต์ Green to Grey ที่สื่อยุโรปหลายสำนักร่วมมือกันพบว่า ระหว่างปี 2018 ถึง 2023 พื้นที่ธรรมชาติในแถบแลปแลนด์ถูกแปรสภาพเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้วกว่า 350 เอเคอร์ หรือเทียบเท่ากับสวนสาธารณะไฮด์พาร์กในกรุงลอนดอน
สิ่งปลูกสร้างที่รุกคืบเข้าไปในป่าประกอบด้วย บ้านพักตากอากาศ สกีรีสอร์ต สวนน้ำ ฟาร์มสุนัขลากเลื่อน และศูนย์สัมผัสประสบการณ์ VR (สำหรับผู้ที่พลาดชมแสงเหนือของจริง) รวมถึงการขยายหมู่บ้านซานตาคลอสเพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากการท่องเที่ยว
สื่ออังกฤษประเมินว่า การพัฒนาที่ดินในแลปแลนด์กว่า 15% เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง และหากพิจารณาเฉพาะในเขตที่เป็น “ศูนย์กลางการท่องเที่ยว” สัดส่วนนี้จะพุ่งสูงถึง 50% เลยทีเดียว
การขยายตัวไม่ได้หยุดอยู่แค่ในเขตเมือง แต่ยังลามไปถึงป่าโบราณทางตอนเหนือสุด ซึ่งเป็นพื้นที่เลี้ยงกวางเรนเดียร์ของ “ชาวซามี” กลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองที่สืบทอดวิถีชีวิตมาหลายชั่วอายุคน
เอลเล มาริต อาร์ตทิเจฟฟ์ คนเลี้ยงกวางเรนเดียร์ชาวซามีกล่าวด้วยความอัดอั้นว่า “สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันไร้สาระมาก” เพราะตอนนี้การท่องเที่ยวกลายเป็นศัตรูรายใหม่ของคนพื้นที่ หลังถูกคุกคามจากการทำไม้และเหมืองแร่มานานหลายปี จนข้อตกลงคุ้มครองทุ่งหญ้าสำหรับสัตว์ที่ทำไว้กับภาครัฐมากว่า 20 ปี ต้องพังทลายลง

สภาภูมิภาคแลปแลนด์เผยถึงผลกระทบจาก Overtourism ว่าทำให้ราคาบ้านพุ่งสูงจนคนท้องถิ่นเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนที่อยู่อาศัย ขณะที่ฝ่ายปกครองท้องถิ่นถูกวิจารณ์ว่าให้ความสำคัญกับรายได้จากการท่องเที่ยวมากกว่าคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม เห็นได้จากการพยายามผลักดันการเติบโตของศูนย์กลางการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน
ในทางกลับกัน นักวิชาการกลับมองต่าง โดย ศาสตราจารย์สตีฟ คาร์เวอร์ จากมหาวิทยาลัยลีดส์ เตือนว่าการพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวอย่างสกีรีสอร์ต คือหนึ่งในภัยคุกคามหลักที่กำลังกัดเซาะพื้นที่ป่าดิบชื้นแห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ในยุโรป
แม้พื้นที่ที่สูญเสียไปประมาณ 2.7 ล้านตารางเมตร (เทียบเท่าสนามฟุตบอล 180 สนาม) อาจดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับขนาดอันกว้างใหญ่ของแลปแลนด์ แต่การค่อยๆ กัดกิน ธรรมชาติทีละนิดแบบนี้ ส่งผลกระทบที่ไม่อาจย้อนกลับคืนได้ต่อระบบนิเวศอันเปราะบางและมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า
จากนี้ไปจึงต้องจับตามองว่า ฝ่ายปกครองท้องถิ่นและรัฐบาลฟินแลนด์จะหันมาแก้ไขหรือบริหารจัดการการท่องเที่ยวของแลปแลนด์อย่างจริงจังเพียงใด

เพราะหากยังปล่อยปละละเลยเช่นนี้ แลปแลนด์อาจบอบช้ำจนเข้าขั้นวิกฤตแบบเดียวกับที่แหล่งท่องเที่ยวดังในสเปน และ เวนิสกำลังเผชิญ จนสุดท้ายแล้วเม็ดเงินที่ได้มาอาจไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไป / theguardian
