เรื่องราวของมวยรองนักสู้ที่กัดฟันไฟต์จนทำให้ตัวเองกลายมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดมักสนุก และสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราได้เสมอ
เช่นเดียวกันกับ PT ปั๊มน้ำมันที่หลายคนเลือกจะขับผ่านในอดีต และพอถึงช่วงปี 2540 ก็ประสบกับวิกฤตต้มยำกุ้งจนทำให้น้ำมันทุกลิตรที่ขายออกไปล้วนแต่เจอกับภาวะ ‘ขาดทุน’ ทำให้เมื่อ 20 ปีก่อน PTG Energy มีหนี้มากถึง 3,600 ล้านบาท
วิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนั้นจึงทำให้ปั๊มน้ำมันหลายๆ เจ้าจำเป็นต้องปิดตัวลงไป รวมถึงทีมผู้บริหารของ PT ส่วนใหญ่ก็คิดเช่นนั้น
ยกเว้นอยู่คนหนึ่งนั่นคือ คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ ผู้บริหารสูงสุดของ PTG ที่เลือกจะอยู่กับวิกฤตนั้นต่อ เพราะถ้าหากเขาเลือกที่จะเดินหนีไปเหมือนกับคู่แข่งรายอื่นๆ นั่นหมายความว่าพนักงานกว่า 1,600 คนจะต้องถูกลอยแพไปด้วย
เป็นการสู้ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤต ที่คุณพิทักษ์เห็นแก่พนักงานเป็นสำคัญ
หลังจากกัดฟันสู้ปรับโครงสร้างหนี้จนบริษัทเริ่มเข้าข่ายอยู่ในระยะปลอดภัย แต่คุณพิทักษ์รู้ดีว่าระยะปลอดภัยนั้นก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้บริษัทพบกับภาวะวิกฤตอยู่เหมือนเดิม นี่เองเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกที่จะพา PTG เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเพิ่มทุนและขยายธุรกิจให้เติบโตแข็งแรง เกินกว่าที่ปัจจัยภายนอกจะมาสั่นคลอนได้
ความสู้อย่างไม่ยอมแพ้จนทำให้บริษัทกลับมายืนได้อีกครั้ง จึงทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นและทำให้ PTG สามารถกลับมาวิ่งในเส้นทางอุตสาหกรรมน้ำมัน ด้วยจำนวนเงินที่สามารถระดมทุนมาจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กว่า 1,600 ล้านบาท
จากนั้น บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ก็มีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้นมา และปัจจุบันก็กลายเป็นปั๊มน้ำมันอันดับที่ 2 ที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทย

ที่ส่วนหนึ่งของการก้าวขึ้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ ก็เป็นเพราะเงินทุนก้อนใหญ่ ที่ช่วยทำให้บริษัทมีสภาพคล่องและขยายตัวได้อย่างเติบโต รวมถึงการยกระดับการบริหารจัดการตามมาตรฐานสร้างความเป็นมืออาชีพ และการดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพเข้ามาทำงานในองค์กร ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้เพิ่มเติมนอกเหนือจากเงินทุนที่ได้จากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
และคลิปด้านล่างนี้ คือเวลากว่า 4 นาทีที่จะทำให้คุณเห็นเส้นทาง วิสัยทัศน์ และการต่อสู้ที่ทำให้ปั๊มน้ำมัน Underdog ในอดีต กลายมาเป็นอีกหนึ่ง Player สำคัญในอุตสาหกรรมน้ำมันไทยอย่างทุกวันนี้ได้
หากพูดถึงการพาธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายคนจะนึกถึง ความเสี่ยง ความกดดันที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจบน Passion และความชอบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเมื่อระดมทุนมาจากประชาชนแล้ว บริษัทย่อมต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นในการสร้างการเติบโตคืนผลกำไรกลับสู่ผู้ถือหุ้น
แต่บางครั้งการไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เสี่ยงยิ่งกว่า เพราะหากยังเลือกที่จะอยู่ใน Comfort Zone แบบเดิมๆ โอกาสในการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตก็อาจหายไป
และหากธุรกิจยังย่ำอยู่กับที่ ไม่แน่ว่าในอนาคตก็อาจถูกคู่แข่งอื่นๆ แซงหน้า หรือโดนเทคโนโลยี Disrupt จนทำให้ธุรกิจล้มไม่เป็นท่าก็เป็นได้
ฉะนั้นแล้วตัวแปรสำคัญที่ชี้วัดว่าความเสี่ยงนั้นจะมีมากหรือน้อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินหรือจำนวนหุ้นที่มีมากเท่าไหร่ แต่ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจ
ที่รู้มากก็เสี่ยงน้อย และกลับกัน รู้น้อยก็เสี่ยงมาก
และ PT ก็เป็นอีกหนึ่ง Case Study ที่เราอยากให้ทุกคนได้เห็นว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ คืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สามารถทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน
เพราะบนโลกนี้ ไม่มีใครจะสามารถประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้เพียงลำพัง
–
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website: Marketeeronline.co /
