ภาพรวมในการดำเนินธุรกิจและอนาคตของบริษัทจะเป็นเช่นไร ดูได้จากตัวเลขรายได้ นี่จึงทำให้บริษัทใหญ่ๆ ถูกจับตามองและกลายเป็นประเด็นใหญ่ปรากฏตามสื่อทุกครั้งที่ข้อมูลดังกล่าวเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะหากเป็นไปในทางลบหรือผิดจากที่คาดไว้ เหมือนล่าสุดที่ Facebook เผยรายได้ 13,730 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 453,090 ล้านบาท) แม้จะเป็นตัวเลขที่มากแต่ก็ยังน้อยกว่าที่คาดกันไว้

Facebook Sub

นอกจากนี้ตัวเลขสำคัญอื่นๆ ของ Social Media หมายเลขหนึ่งของโลก ทั้งจำนวนผู้ใช้เป็นประจำ (Active User) ในแต่ละวันและแต่ละเดือนทั่วโลกก็ไม่ถึงที่คาดไว้

ไตรมาสล่าสุดที่สะดุดจากการเปลี่ยนผ่านและปัญหารุมเร้า 

บริษัทที่ Mark Zuckerberg เป็นผู้ร่วมก่อตั้งเมื่อ 14 ปีก่อนและยังรั้งตำแหน่ง CEO มาจนถึงปัจจุบัน เผยว่า ระหว่างกรกฎาคมถึงกันยายนปีนี้ มีรายได้อยู่ที่ 13,730 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 33% จากไตรมาส 2 ปีเดียวกัน และเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสนี้ของปีก่อน แต่ไม่ถึง 13,780 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 454,740 ล้านบาท) ที่เหล่านักวิเคราะห์ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (Wall Street) คาดไว้

ส่วนจำนวน Active User แต่ละวันทั่วโลกในไตรมาสเดียวกันอยู่ที่ 1,490 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสนี้ของปีก่อน แต่ยังน้อยกว่า 1,510 ล้านคนที่ Wall Street คาดไว้ ขณะที่ Active User แต่ละเดือนเพิ่มเป็น 2,270 ล้านคน เพิ่มจาก 2,230 ล้านคน ตามกรอบเวลาเดียวกัน แต่ยังน้อยกว่า 2,290 ล้านคนตามคาดการณ์ โดยอินเดีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ผู้ใช้เพิ่มขึ้นมากสุด

Zuckerberg ให้เหตุผลว่าอัตราเติบโตที่น้อยเกินคาดนี้ เป็นผลมาจากการผลักดัน Stories – Feature บอกความเป็นไปในชีวิตของผู้ใช้ผ่านภาพเคลื่อนไหวที่จะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง (Instant Video) ให้ขึ้นมามีความสำคัญมากกว่า News Feed ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่อีกครั้งของ Facebook 

เทียบได้กับการเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับการใช้ผ่านอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ (Mobile Device) อย่าง Smartphone และ Tablet เมื่อไม่กี่ปีก่อน หลังผูกติดอยู่กับอุปกรณ์ตั้งโต๊ะอย่าง Desktop และ Laptop Computer ในช่วงเริ่มก่อตั้งบริษัท จึงทำให้ยังขายโฆษณาไม่ได้มาก แต่  Zuckerberg บอกว่าเมื่อผู้ใช้หันมาใช้ Stories กันมากขึ้น เม็ดเงินจากโฆษณาก็จะมากขึ้นแน่นอน

Facebook Desktop Screen

วิเคราะห์กันว่าอีกสาเหตุที่ตัวเลขสำคัญๆ ของ Facebook น้อยกว่าที่คาดไว้ เพราะเมื่อกันยายนที่ผ่านมา ผู้ใช้เกือบ 30 ล้านคนถูก Hacker เจาะเข้าถึงข้อมูลทั้ง E-Mail และหมายเลขโทรศัพท์ ประกอบกับผู้ใช้อีกจำนวนมากอาจยังไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว จากกรณีที่ Cambridge Analytica บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลในสหรัฐฯ นำข้อมูลผู้ใช้กว่า 50 ล้านคน ไปใช้เอื้อประโยชน์ต่อการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี 2016  

เน้น Video Feature และ Chat App และเพิ่มมาตรการความปลอดภัย

Facebook Mark Zuckerberg

CEO วัย 34 ปี ของ Facebook ย้ำว่า Stories จะมีความสำคัญต่ออนาคตขององค์กร ตามพฤติกรรมผู้ใช้ที่เน้นส่ง Instant Video มากขึ้น ส่วนในเรื่องมาตรการความปลอดภัยของผู้ใช้ Zuckerberg ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่บริษัททุ่มงบประมาณมากเป็นพิเศษ โดยเชื่อว่าปลายปี 2019 ความปลอดภัยต่างๆ จะกลับมาอยู่ในระดับที่ดีเหมือนเดิม

การหันมาให้ความสำคัญกับ Video Feature และ Chat App มากขึ้นของ Facebook เป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้กลุ่มวัยรุ่นที่ใช้ App ที่มี Video Feature หรือลูกเล่นต่างๆ และใช้ App ในเครือทั้งหมด ทั้ง Messenger, Instagram และ WhatsApp ให้เต็มประสิทธิภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ต้องเผชิญศึกรอบด้าน ทั้งจาก Snapchat-Chat App ต้นตำรับ Instant Video และ TikTok–App น้องใหม่ลักษณะใกล้เคียงกันที่กำลังได้รับความนิยมมากในกลุ่มวัยรุ่น

นอกจากนี้ Facebook ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในตลาด Video Platform และ Video Streaming ซึ่ง Youtube กับ Netflix ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด หลังรุกสู่ทั้งสองตลาดแล้ว ด้วย Watch บริการ Video ที่สามารถเลือกชมได้ตามความต้องการ (Video on Demand) ที่เปิดตัวเมื่อสิงหาคม 2017 ซึ่งมีทั้งจำนวนเนื้อหารายการและผู้ชมเพิ่มขึ้น แม้ยังห่างจากทั้ง Youtube กับ Netflix อยู่มากก็ตาม

Facebook Watch

ในภาพรวมจะทำให้ Facebook สามารถรั้งผู้ใช้ให้อยู่ใน Platform ได้นานขึ้นผ่าน Feature และ Function ที่ครบทุกความต้องการ จนท้ายที่สุดจำนวนผู้ใช้และรายได้เพิ่มขึ้นอีกมหาศาล/cnn, bbc, adage, cnbc, wikipedia



ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ

.
Marketeer ฉบับดิจิทัล : อ่านบน Ookbee / อ่านบน meb
.
Marketeer ฉบับ PDF : https://marketeermagazine.com/
.
Marketeer ฉบับกระดาษ : สั่งซื้อทางไปรษณีย์ Inbox มาที่ เพจ Marketeer Online