ตลาดราเมน ถึงจุดเดือด !!! เมื่อ โออิชิ – ฮะจิบัง – ชาบูตง ชักธงรบชิงตลาดมูลค่า 3,000 ล้านบาท
คนไทยคุ้นเคยกับ ราเมน มานานหลายสิบปี โดยมาจากคนญี่ปุ่นที่มาอยู่ในเมืองไทยรวมไปถึงคนไทยที่เปิดร้าน ราเมน ย่านสีลมและสุขุมวิท ซึ่งก็ได้รับความนิยมจากคนในย่านนั้นเพราะ เป็นอาหารจานเดี่ยว สะดวกรวดเร็ว แถมในเวลานั้น ราเมน ก็มีราคาขายถูกกว่าหากเทียบกับอาหารญีปุ่นประเภทอื่นๆ
แต่ก็จนมาถึงจุดเปลี่ยนจากร้านขายราเมนตามตึกแถวริมถนน ก็ถูกอัพเกรดไปสู่พื้นที่ศูนย์การค้าโดย “ฮะจิบังราเมน” ซึ่งเป็นแบรนด์แฟรนไชส์นำเข้าโดยบริษัท ไทยฮะจิบัง จำกัด เปิดสาขาแรกศูนย์การค้าสีลมคอมเพล็กซ์ ในปี พ.ศ. 2535
โดยจุดขายของ ฮะจิบังราเมน ตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อ 31 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันก็คือการเป็น ราเมน ชามโตราคาเข้าถึงง่ายเริ่มต้นไม่ถึง 80 กว่าบาทจนถึง 100 กว่าบาท อีกทั้งยังรักษามาตราฐานรสชาติที่ถูกปากผู้บริโภคคนไทยได้อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อราคากับคุณภาพเดินมาคู่กันทำให้ ฮะจิบังราเมน มียอดขายเติบโตต่อเนื่องในทุกๆปี พร้อมกับขยายสาขาต่อเนื่องจนปัจจุบันมีถึง 122 สาขา
กลายเป็นแบรนด์แรกๆ ที่หากคนไทยคิดอยากกินราเมนร้อนๆ “ฮะจิบังราเมน” จะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ
สะท้อนจากตัวเลขรายได้ในปี 2560 ฮะจิบังราเมน มียอดขาย 1,710 ล้านบาทซึ่งกินสัดส่วนมากกว่า 50% ของตลาดเชนร้านอาหารราเมนในประเทศไทยที่มีมูลค่าประมาณ 3,142 ล้านบาท (ข้อมูล CRG)
แต่…ในช่วงที่ ฮะจิบังราเมน กำลังสร้างแบรนด์และกวาดยอดยอดในขามราเมน Blue Ocean นั้น กลุ่มบรรดาเจ้าของแฟรนไชส์ร้านราเมนจากญี่ปุ่น ก็เริ่มหันมาขายแฟรนไชส์ให้แก่นักลงทุนชาวไทยที่สนใจจะเปิดร้าน ราเมน
ทำให้ช่วงเวลาหนึ่งร้านราเมนเกิดขึ้นมากมาย ประสบความสำเร็จก็มี ล้มหายตายจากไปก็เยอะ
ร้านราเมนที่ซื้อแฟรนไชส์มา ที่เหลือรอดส่วนใหญ่มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้ขยายสาขามากมาย อย่างที่พอๆ รู้จักกันก็ร้าน “อาจิเซน ราเมน” เปิดมา 15 ปีมี 7 สาขา

จะมีก็แต่นักช้อปปิ้งแฟรนไชส์อย่าง CRG หรือ เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จํากัด ที่ดูแข็งแกร่งที่สุดโดยมีแบรนด์ “ชาบูตง” ที่มีถึง 17 สาขา โดยได้ซื้อแฟรนไชส์มาจากสุดยอดเชฟราเมน “ยาสุจิ โมริซึมิ” จากรายการทีวีแชมเปี้ยน

“ชาบูตง” เปิดร้านขายราเมนในเมืองไทยนาน 8 ปี วางตำแหน่งเป็นร้านราเมนระดับพรีเมียม มีราคาขายเฉลี่ยชามละ 200 บาท ซึ่งแพงกว่าร้านคู่แข่งหลักๆ ในตลาดอย่าง ฮะจิบังราเมน, และ โออิชิ ราเมน
ผู้บริหาร ชาบูตง เคยอธิบายเหตุผลเรื่องนี้ในงานแถลงข่าวว่า ไม่ควรใส่ใจเรื่องราคามากนัก เพราะผู้บริโภคกลุ่มที่ทานอาหารญี่ปุ่นจำนวนมาก ต้องการรสชาติและวัตถุดิบที่ใส่ในชาม ราเมน เกรด A ในราคาสมเหตุสมผลและ บาบูตง เลือกที่จะขายลูกค้ากลุ่มนี้
โดยในปี 2017 ที่ผ่านมามีรายได้เกือบๆ 300 ล้านบาทสร้างยอดขายผ่าน 17 สาขา โดยตั้งเป้าจะต้องมี 30 สาขาในอีก 3 – 4 ปีข้างหน้า พร้อมทั้งกำลังศึกษาถึงความเป็นไปได้ในโมเดล “ราเมน เดลิเวอรี่” ส่งตรงถึงบ้านผู้บริโภค

ขณะที่ “โออิชิ ราเมน” ราเมนรสชาติไทยสไตล์ญี่ปุ่น เลือกจะใช้ “จุดขาย” คือการนำข้อได้เปรียบในการเป็นคนสร้างแบรนด์เองไม่ได้ซื้อแฟรนไชส์เหมือนอย่างร้านอื่นๆ
ทำให้มีความอิสระในการคิดค้นรสชาติด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอผ่านการอนุญาติเหมือนร้าน ราเมน คู่แข่งที่ซื้อแฟรนไชส์จากญี่ปุ่น ที่การจะเปลี่ยนสูตรหรือคิดรสชาติใหม่ๆ ขายในร้านตัวเองนั้น จะต้องขออนุญาติได้รับความยินยอมจากเจ้าของแบรนด์
และช่องว่างที่คู่แข่งที่ซื้อแฟรนไชส์มาจากญี่ปุ่นทำไม่ได้ถนัดมากนัก จึงกลายเป็นจุดแข็งที่ “โออิชิ ราเมน” เลือกใช้คือนอกจากจะมีราเมนรสชาติสไตล์ญี่ปุ่นแล้วนั้น การครีเอทรสชาติราเมนแบบไทยๆ อย่างหลากหลายเมนูตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นการสร้างความ “ต่าง” ที่หลายร้านราเมนในเมืองไทยไม่มี
ราเมนต้มยำ ราเมนผัดขี้เมากุ้ง/หมู ราเมนหอยลายผัดน้ำพริกเผา และ ราเมนกะเพรากรอบ ราเมนต้นตำรับแบบไทยจึงเป็นสิ่งที่ “โออิชิ” พยายามจะเสิร์ฟลูกค้าตลอดเวลา
ถึงอย่างไรก็ตามแม้คู่แข่งจะหาสารพัดกลวิธีในการแย่งชิงยอดขายจาก ฮะจิบังราเมน แบบไม่ลดละ แต่การเป็นร้านแรกที่ขายราเมนในเชิง Mass ราคาเข้าถึงง่ายรสชาติถูกปากคนไทย พร้อมกับมี 122 สาขาครอบคลุมทุกพื้นที่การขายทิ้งห่างร้านราเมนคู่แข่งทุกราย
เป็นข้อได้เปรียบของ ฮะจิบังราเมน ที่คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบ
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
