การออมทอง ทางเลือกการลงทุนเพื่อเอาชนะความผันผวน (โอกาสและการลงทุน)

EP ที่แล้ว เราได้แนะนำให้รู้จักกลไกราคาทอง (อ่านได้ที่ “เจาะลึกลงทุนทองฯ“) EP นี้ เราจะมาแนะนำแนวทางการลงทุนทองที่หลายสำนักแนะนำไว้

World Gold Council ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า การมีทองคำในพอร์ตลงทุนร่วมกับการลงทุนในหุ้นของประเทศเศรษฐกิจใหม่ (Emerging Market) ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทย จะช่วยทำให้ผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-adjusted return) มีความน่าสนใจกว่าพอร์ตที่ไม่มีทองคำ และช่วยเพิ่มผลตอบแทนโดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์โลกผันผวน รวมถึงช่วยป้องกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ

แปลว่า พอร์ตที่มีทองคำในสัดส่วนที่เหมาะสม จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้แม้ในยามที่ตลาดหุ้นเป็น “ขาลง” หรือยามเกิดวิกฤต เพราะทองคำมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกในช่วงเกิดวิกฤต ในฐานะที่เป็น “Safe Haven” หรือสินทรัพย์ปลอดภัย … แต่แน่นอนว่า ยามที่เศรษฐกิจดี ส่งผลให้ตลาดหุ้นดี ผลตอบแทนของพอร์ตก็จะไม่สูงปรี๊ด เพราะมีผลตอบแทนของทองที่ต่ำกว่าคอยถ่วงดุล

พูดง่ายๆ  ก็คือเวลาที่เกิดวิกฤต พอร์ตที่มีทองคำก็จะไม่ดิ่งเหวลงไปลึก ไม่ต้องติดลบจนบาดเจ็บสาหัส แต่ในเวลาที่ตลาดหุ้นสดใส ผลตอบแทนที่ได้ก็จะไม่สูงสุดโต่งเท่ากับพอร์ตที่มีแต่หุ้น

ย้อนไปช่วงวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในสหัฐฯ ปี 2008 ขณะที่หุ้นทั่วโลกตกอย่างหนัก ผลตอบแทนจากทองยังคงเป็นบวก แต่เมื่อตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวใน 2 ปีถัดมา ผลตอบแทนจากทองก็เพิ่มขึ้น แต่ต่ำกว่าผลตอบแทนจากหุ้นอย่างเห็นได้ชัด

ช่วง 2 ปีหลังที่โลกเต็มไปด้วยความผันผวน ทั้งสงครามการค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ภัยธรรมชาติ รวมถึงโรคระบาด ทำให้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจนถึงต้นปี 2020 ผลตอบแทนในทองสูงกว่าหุ้น

จากตารางยังมีอีกประเด็นสำคัญคือ การลงทุนในหุ้นที่มีปันผลจะช่วยให้พอร์ตมีผลตอบแทนที่ดีกว่าและมีความเสี่ยงน้อยลงเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นเพียงเพื่อหวังผลส่วนต่างราคาหุ้น (Capital Gain/Loss) …ซึ่งผลตอบแทนจากเงินปันผลนี่เองที่ทำให้หลายคนมองว่าการลงทุนหุ้นมีแต้มต่อกว่าการลงทุนทอง

สัดส่วนที่เหมาะสมใน การออมทอง

World Gold Council ชี้ว่า สัดส่วนการลงทุนในทองที่ดีคือ 5-15% ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดในพอร์ต เพราะจะทำให้ได้ผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยง (Risk-adjusted Return) ที่น่าสนใจที่สุด และทำให้พอร์ตมีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

แต่ทั้งนี้ สัดส่วนดังกล่าวปรับเปลี่ยนได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยง ช่วงอายุ ระยะเวลาลงทุนเทียบกับเป้าหมายการลงทุน และขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจในการลงทุนทองของนักลงทุนแต่ละคน

ทั้งนี้ การลงทุนในทองคำแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบกว้างๆ คือ 1) ลงทุนโดยตรง หรือซื้อขายทองด้วยตัวเอง โดยมีทั้งทองแท่งและทองรูปพรรณ แต่หากลงทุนในทองรูปพรรณจะต้องเสียค่ากำเหน็จ 2) ลงทุนในกองทุนรวมทองคำ (Gold Fund) ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในทองคำ การเคลื่อนไหวของมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) จะเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งจะมีความเสี่ยงเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการ

และ 3) ลงทุนใน Gold Futures ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า ถือเป็นเครื่องมือในการทำกำไรจากการคาดการณ์ทิศทางราคาทองคำที่สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ด้วยเงินลงทุนที่น้อยกว่า เช่น ลงทุนแค่ 20,000 บาทใน Gold Futures 1 สัญญา เทียบเท่ากับลงทุนในทองคำหนัก 50 บาท (ทอง) หรือมูลค่า 1 ล้านบาท ถ้ากำไร 10% ก็เท่ากับผู้ลงทุนจะได้กำไร 1 แสนบาท แต่ถ้าขาดทุน ก็คือขาดทุน 1 แสนบาทเช่นกัน Gold Futures จึงไม่เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ที่ไม่มีความรู้เรื่องการลงทุน TFEX มากพอ

ลงทุนทองอย่างไร … ไม่ให้ “ติดดอย”

จาก 3 รูปแบบ จะขอแนะนำรูปแบบการลงทุนทางตรงซึ่งมีความเสี่ยงน้อยสุด และลงทุนได้ง่ายสุด โดยมีทั้งแบบซื้อขายที่หน้าร้านทอง ซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ของร้านทอง และซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มที่ให้บริการซื้อขายทองคำ

ปัจจุบันร้านทองบางแห่งเปิดบริการซื้อขายออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพียงเปิดพอร์ตกับร้านทองที่เเลือก วางเงินมัดจำ เมื่อราคาทองลงจนพอใจ ก็กดคำสั่งซื้อ แล้วโอนเงินเข้าบัญชีให้ครบตามมูลค่าทองที่สั่งซื้อ จากนั้นก็นัดรับทองกับทางร้าน เมื่อราคาทองขึ้นจนพอใจ ก็กดสั่งขาย แล้วนำทองไปที่ร้านภายในเวลาที่กำหนด เมื่อร้านรับทองก็จะโอนเงินเข้าบัญชี หรือหากซื้อทองแล้วฝากไว้กับร้านเพื่อรอจังหวะขาย เมื่อกดสั่งขายทองที่ฝากไว้ จากนั้นเงินก็จะถูกโอนเข้าบัญชี … เรียกว่าทำกำไรโดยไม่ต้องจับทองเลยก็ได้

จากตารางจะเห็นว่าบางปีดูเหมือนมีกำไรไม่มาก บางปีอาจขาดทุน แต่ คุณฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG Bullion and FUTURES) ให้ข้อมูลว่า จริงๆ แล้ว ตลอดทั้งปีราคาทองมีขึ้นมีลง หากผู้ลงทุนมีการติดตามราคาทองอย่างใกล้ชิดจะมีโอกาสทำกำไรได้จากราคาทองที่ผันผวน

ยกตัวอย่าง ถ้าลงทุนซื้อทองเมื่อต้นปี 2020 ซึ่งราคาทองคำแท่งขายออกอยู่ที่ 21,450 บาท ถ้าขายคืนวานนี้ (วันที่ 21 ก.พ. เวลา 17.00 น.) ราคาอยู่ที่ 24,350 บาท ผู้ลงทุนจะมีกำไรแล้ว 2,900 บาท หรือประมาณ 13.5% …แต่ทั้งนี้ ในระยะเวลากว่า 50 วันที่ผ่านมานี้ ราคาทองมีทั้งช่วงที่ขึ้นและตั้งแต่ 50-350 บาท 

ทั้งนี้ ด้วยราคาทองที่พุ่งขึ้นมาอย่างมากตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ทำให้หลายคนลังเลที่จะเข้าลงทุนทองในช่วงนี้ เพราะมองว่าราคาทองอาจเข้าใกล้จุดสูงสุด หรือใกล้ “ติดดอย” เต็มที อย่างไรก็ดี การลงทุนทองให้ได้ผลตอบแทนที่ดี ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจความสัมพันธ์ประเด็นต่างๆ ที่จะมีผลต่อราคาทองโลก และเข้าซื้อขายให้ถูกจังหวะ

“ทองคำเป็นตลาดโลก โดยตลาดที่มีผลต่อการแกว่งตัวของราคาทองค่อนข้างมาก คือตลาดจีนและสหรัฐฯ บางทีแค่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีต (tweet) ราคาเด้งขึ้นหรือดิ่งลงได้แล้ว ยิ่งราคาทองผันผวน นักลงทุนก็มีโอกาสทำกำไรได้มาก ถ้าเข้าใจทิศทางราคาและซื้อขายถูกจังหวะ”คุณฐิภาแนะนำ

ยกตัวอย่าง เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน รอบที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มเกิดเหตุตั้งแต่ปลายปี 2019 หลังเกิดเหตุในค่ายทหารสหรัฐฯ ในอิรักจนทำให้ผู้รับเหมาชาวอเมริกันเสียชีวิต เป็นเหตุให้สหรัฐฯ โจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มคาตาอิบ ฮิซบุลเลาะห์ ตามมาด้วยเหตุการณ์สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงแบกแดดถูกโจมตี สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายเมื่อนายพลกัสซิม โซเลมานี ถูกลอบสังหาร จนนำไปสู่การโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ โดยกองทัพอิหร่าน

ความวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับอิหร่านกดดันให้เกิดแรงขายในสินทรัพย์เสี่ยง พร้อมกับหนุนราคาน้ำมันให้สูงขึ้น และกระตุ้นให้เกิดแรงซื้อในสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะทองคำ ทำให้ราคาทองในเช้าวันที่ 8 ม.ค. พุ่งขึ้นไปถึง 123 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 8.3% ในเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์

“ถ้าเข้าใจสถานการณ์ดังกล่าวว่าจะส่งผลต่อราคาทองทิศทางใด แล้วเข้าลงทุนถูกจังหวะ ก็ย่อมทำกำไรได้มาก แต่ไม่ใช่ว่าทุกสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง (Geopolitics) จะส่งผลเป็นบวกต่อราคาทอง และราคาทองคำมักตอบสนองรุนแรงในระยะสั้นก่อนที่จะลดช่วงบวกลงมาในระยะถัดไป”

สุดท้ายนี้ คุณฐิภาย้ำว่า ถ้าไม่อยาก “ติดดอย (สูง)” ก็ไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดลงทุนในครั้งเดียว ควรแบ่งเป็น 3-5 ไม้ (ส่วนเท่าๆ กัน) ทยอยเข้าซื้อครั้งละไม้เมื่อราคาทองย่อลงมาก และหาจังหวะขายเมื่อราคาขึ้นไปถึงจุดที่น่าพอใจ โดยนอกจากอาศัยความเข้าใจสถานการณ์การเมืองโลก ราคาทองยังมีการปรับขึ้นลงตามเทศกาล ซึ่งปกติช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. ของทุกปี ราคาทองมักจะปรับขึ้นจากความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน และมีแนวโน้มลดลงในช่วงเดือน พ.ย.

ออมทอง … ทางเลือกของคนงบน้อยที่ไม่ชอบคิดเยอะ

ในอดีต คนไทยนิยมซื้อทองรูปพรรณถึง 80-90% ของการซื้อขายทองทั้งหมด แต่ทุกวันนี้กลับกันคือ คนไทยนิยมซื้อทองแท่งมากกว่า 80-90% โดยส่วนใหญ่ซื้อเพื่อเก็บและลงทุน

ปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อขายทองครั้งละ “สองสลึง” หรือ “หนึ่งบาท (ทอง)” ซึ่งต้องจ่ายเงินหลักหมื่นต่อครั้ง เพราะวันนี้ ร้านทองหลายแห่งมีบริการที่เรียกว่า “ออมทอง” ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อทองได้ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 100 บ้างก็เริ่มที่ 500 หรือ 1,000-1,500 บาทต่อครั้ง หรือต่อเดือน

ขณะที่บางร้านอาจไม่ได้กำหนดว่าต้องลงทุนวันที่เท่าไร หรือเดือนละกี่ครั้ง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ลงทุนเอง แต่บางร้านอาจกำหนดให้ลงทุนเดือนละครั้ง ทุกวันที่ X ของเดือน บางร้านอาจมีขั้นต่ำของน้ำหนักทองหรือมูลค่าทองที่สามารถขายได้ ส่วนบางร้านอาจไม่กำหนดขั้นต่ำ บางร้านอาจให้รับทองจริงได้เมื่อออมครบมูลค่าทองขนาด 1 กรัมขึ้นไป แต่บางร้านอาจให้รอจนครบ 1 สลึงขึ้นไป ขณะที่บางร้านมีค่ากำเหน็จ บางร้านอาจไม่คิด นอกจากนี้ บางร้านอาจมีบริการซื้อทองผ่าน Line หรือ Facebook ได้ด้วย

ดังนั้น จะใช้บริการออมทองร้านไหน ผู้ลงทุนควรเปรียบเทียบเงื่อนไขและข้อดีข้อเสียแต่ละแห่งก่อนตัดสินใจ โดยควรเลือกร้านที่มีเงื่อนไขสอดคล้องกับสไตล์การลงทุนของแต่ละคน

7 เทรนด์หนุนทองเป็น Safe Haven

ทิ้งท้ายด้วยปัจจัยที่ส่งผลบวกต่อราคาทองในปีนี้ ประกอบด้วย

  1. สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อ
  2. ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง
  3. ความไม่แน่นอนจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) รวมถึงความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงปลายปี
  4. ความวิตกเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะลดลง
  5. ธนาคารกลางและกองทุนมีแนวโน้มเข้าซื้อทองคำเพิ่มขึ้น
  6. อัตราดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำ
  7. การแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ที่ยังไม่รู้ว่าจะยุติเมื่อไหร่

คงต้องย้ำอีกครั้งว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง … ความโลภจะทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ขณะที่ความรู้จะช่วยให้ความโลภและความเสี่ยงลดลง ดังนั้น จึงควรศึกษาก่อนลงทุน!!

อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้ที่ 
Website : Marketeeronline.co / Facebook : www.facebook.com/marketeeronline

 


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer