เซินเจิ้น, สาธารณรัฐประชาชนจีน  25 พฤษภาคม 2563 – หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ได้จัดงาน Huawei Analyst Summit หรืองานสัมมนานักวิเคราะห์สัมพันธ์ขึ้น ณ เมืองเซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อพบปะและพูดคุยกับเหล่านักวิเคราะห์การลงทุนถึงเทรนด์ตลาด เทคโนโลยีนวัตกรรม รวมถึงการพัฒนาอีโคซิสเต็ม ในประเด็นต่าง ๆ ที่กำลังเป็นที่สนใจ ภายใต้หัวข้อ “Seamless AI Life” หรือ “ชีวิตเอไอ ไร้รอยต่อ” ซึ่งมุ่งเน้นถึงแนวทางการพัฒนาธุรกิจในอนาคต

“ยุคอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Everything) ได้ก่อให้เกิดตลาดใหม่ที่มีมูลค่านับล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะนำพาบริการ รวมถึงอุปกรณ์รูปแบบใหม่ ๆ มาสู่ตลาด” นายเส้า หยาง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ของหัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป กล่าว “หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป กำลังดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ขององค์กร ที่ต้องการจะสร้าง Seamless AI Life ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยเรามีเป้าหมายที่จะพลิกโฉมประสบการณ์ของลูกค้าผ่านการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ความสามารถในการแบ่งปันข้อมูลและประสานการทำงานระหว่างอุปกรณ์ ไปจนถึงการบูรณาการคอนเทนต์และบริการของทุกอุปกรณ์ ในระบบอีโคซิสเต็มของหัวเว่ย ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ 1+8+N” 

หัวเว่ย ยึดมั่นในกลยุทธ์ “1+8+N” Seamless AI Life โดย “+” หมายถึง เครือข่ายการเชื่อมต่อในบริเวณกว้าง (WAN) และเทคโนโลยีการเชื่อมต่อระยะใกล้ที่เชื่อมการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทำงานแยกกันโดยอิสระเข้าไว้ด้วยกัน พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแชร์ข้อมูลและประสิทธิภาพระหว่างอุปกรณ์ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม มอบประสบการณ์ชีวิตอัจฉริยะหรือสมาร์ทไลฟ์ ให้แก่ผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง โดยหัวเว่ยยังคงเดินหน้าลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีหลักอย่าง 5G, Huawei Share, ระบบปฏิบัติการ และ Huawei Assistant เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันในระยะยาวให้กับองค์กรและแบรนด์ พร้อมนำเสนอนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้แก่อุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Huawei Mobile Services ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อและทำงานพร้อมกันบนสมาร์ทดีไวซ์หลายชิ้นได้พร้อมกัน ถือเป็นการปฏิวัติประสบการณ์การทำงาน การใช้ชีวิตในบ้าน และการท่องเที่ยวได้อย่างครบถ้วนทุกมิติ  

 

ยกระดับประสบการณ์ชีวิตในทุกแง่มุมด้วยซอฟต์แวร์ และอีโคซิสเต็มบนระบบปฏิบัติการล่าสุด

การพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายการสื่อสาร และเทคโนโลยีที่ผู้ใช้สามารถมีส่วนร่วมด้วยได้ เป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดวิวัฒนาการของผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลสถิติปัจจุบันพบว่า ผู้บริโภคในระดับบุคคลซื้อสินค้าในกลุ่มสมาร์ทดีไวซ์มากขึ้นและเพิ่มจำนวนชิ้นที่ถือครองมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคจำนวนมากยังคงรู้สึกว่าการเชื่อมต่อหรือประสานการทำงานระหว่างสมาร์ทดีไวซ์ต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก  

นายหวัง เฉิงลู่ ประธานฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของหัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป กล่าวว่า ทิศทางการพัฒนาสมาร์ทดีไวซ์ในอนาคตนั้นเป็นไปเพื่อเชื่อมต่อหลายอุปกรณ์เข้าไว้ด้วยกัน เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่การใช้งานและขยายขีดความสามารถในการทำงานของแต่ละอุปกรณ์มากยิ่งขึ้น โดยมีสมาร์ทโฟนเป็นศูนย์กลาง ทำให้ระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ต้องมีความสามารถในการเชื่อมต่อดังกล่าวด้วย การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต้องมีประสิทธิภาพและราบรื่นเสมือนการเชื่อมต่อการทำงานภายในอุปกรณ์เดียว และอีโคซิสเต็มจะต้องสามารถรองรับการทำงาน รวมถึงการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างระบบได้ 

บรรยายภาพ: นายหวัง เฉิงลู่ ประธานฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของหัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ระหว่างขึ้นกล่าวในงาน Huawei Analyst Summit ณ เมืองเซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน

หัวเว่ยได้ปรับเปลี่ยนและพัฒนาระบบปฏิบัติการจากความสามารถในการทำงานทั่วไป ตามโครงสร้างพื้นฐานของระบบซอฟต์แวร์ สู่ระบบซอฟต์แวร์และฐานข้อมูลที่สามารถเชื่อมต่อและประสานการทำงานระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างลื่นไหล เทียบเคียงได้กับการเชื่อมต่อและประสานการทำงานภายในอุปกรณ์เดียวกัน ให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์และข้อมูลได้อย่างไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัย ที่จะช่วยเก็บรักษาข้อมูลความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ พร้อมมอบความปลอดภัยในการใช้งานในทุกสถานการณ์  และด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อและแบ่งปันศักยภาพในการทำงานระหว่างอุปกรณ์นี้ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ในหลาย ๆ ด้าน ตัวอย่างเช่น การทำงานแบบหลายหน้าจอ (multi-screen collaboration) ระหว่างอุปกรณ์ บนระบบปฏิบัติการ EMUI 10.1 ผู้ใช้จะสามารถใช้กล้อง หรือ ไมโครโฟนเพื่อรับสายที่โทรเข้าสมาร์ทโฟนได้จากแล็ปทอปได้ ฟังก์ชันควบคุมการเชื่อมต่อหลายอุปกรณ์ของสมาร์ทโฟน (Multi-device Control Center) จะสามารถช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานร่วมกับดีไวซ์อื่น ๆ ได้อย่างชาญฉลาด สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ IoT หรือแสดงผลหลายหน้าจอของดีไวซ์ที่เชื่อมต่อกันได้ 

การเปิดกว้างของศักยภาพใหม่ ๆ นี้ นำไปสู่โอกาสอีกมากมายในอุตสาหกรรมนี้ สำหรับผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ การเพิ่มศักยภาพหรือขีดความสามารถดังกล่าว ช่วยทำให้ผู้ใช้มองเห็นประโยชน์และความสะดวกสบายในการใช้งานอุปกรณ์ ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการใช้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันศักยภาพนี้ก็ช่วยย่นระยะเวลาการทำงานและลดความยุ่งยากของขั้นตอน จากเดิมที่ต้องพัฒนาแอปฯ เพื่อให้รองรับการใช้งานหลายอุปกรณ์ สามารถลดเหลือเพียงเวอร์ชันเดียวได้ เนื่องจากทุกอุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกันได้ นำมาซึ่งประสบการณ์ชีวิตเอไอ ไร้รอยต่อ โดยมีความสามารถในประสานการทำงานระหว่างหลายอุปกรณ์เป็นตัวช่วย  

 

Huawei Mobile Services เต็มรูปแบบ เพื่อสรรค์สร้างชีวิตเอไอ ไร้รอยต่อ

หัวเว่ยได้เปิดให้นักพัฒนาใช้ “Chipset-Device-Cloud” ซึ่งประกอบไปด้วยชุดเครื่องมือ HMS Core Kits มากมายไม่ว่าจะเป็น Account Kit, In-App Purchase Kit, Machine Learning Kit, HiAI Kit และ Camera Kit ซึ่งหัวเว่ยได้ร่วมงานกับนักพัฒนาและพาร์ตเนอร์ทั่วโลกเพื่อสร้างอีโคซิสเต็มให้กับ Huawei Mobile Services พร้อมยกระดับคอนเทนต์ และบริการให้ผู้ใช้หัวเว่ยทุกคน เพื่อมอบประสบการณ์ชีวิตเอไอไร้รอยต่อให้แก่ผู้บริโภคยุค 5G 

นายเอริค ตัน รองประธานฝ่ายบริการคลาวด์ของหัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป กล่าวในที่ประชุมว่า หัวเว่ยนำเสนอแอปพลิเคชันชั้นนำเปี่ยมคุณภาพ พร้อมลดขั้นตอนและระยะเวลาในการค้นหาและเลือกสรรแอป อีกทั้งยังยกระดับความปลอดภัย และดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ด้วยการทยอยเพิ่มเติมแอป ยอดนิยมของแต่ละท้องถิ่นเข้าสู่ระบบ นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้เปิดตัว Quick Apps และ Atomic Ability ทั่วโลก โดย Quick Apps คือฟีเจอร์ใหม่ที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถใช้แอปพลิเคชันได้แบบไม่ต้องดาวน์โหลดติดตั้ง มอบประสบการณ์การใช้งานที่ลื่นไหลเพียงสัมผัสแบบ tap-to-play ขณะที่  Atomic Ability คือฟีเจอร์ที่สามารถแนะนำผู้ใช้อย่างชาญฉลาด เพื่อให้สามารถปรับการใช้งานได้อย่างเหมาะสม มอบประสบการณ์การใช้งานหลายดีไวซ์ที่ราบรื่นและยอดเยี่ยมในทุกสถานการณ์ 

บรรยายภาพ: นายเอริค ตัน รองประธานฝ่ายบริการคลาวด์ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป 

ขณะกล่าวในงาน Huawei Analyst Summit ณ เมืองเซินเจิ้น สาธารณรัฐประชาชนจีน

หัวเว่ยสนับสนุนชุดเครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนาระบบ (IDE: Integrated Development Environment) แบบองค์รวมให้แก่นักพัฒนา เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาระบบที่สามารถเชื่อมต่อกับทุกอุปกรณ์ทั่วโลกได้ ผ่านอุปกรณ์เดียวหรือจุดเริ่มต้นเพียงจุดเดียว เดือนมีนาคมที่ผ่านมา หัวเว่ยมีนักพัฒนาที่ขึ้นทะเบียนกับบริษัทกว่า 1.4 ล้านรายทั่วโลก โดยนักพัฒนาเหล่านี้ได้ใช้ประโยชน์จาก HMS Core Kits ที่ทางบริษัทมอบให้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลแผนที่ หรือบริการการวิเคราะห์ต่าง ๆ ปัจจุบัน HMS Core Services มีแอปพลิเคชันรวมมากกว่า 60,000 แอป เพิ่มขึ้นคิดเป็น 66.7% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน โดยหัวเว่ยจะยังคงเดินหน้าทำงานร่วมกับนักพัฒนาและพาร์ตเนอร์ชั้นนำทั่วโลกเพื่อสร้างสรรค์อีโคซิสเต็มที่เติมเต็มชีวิตเอไอ ไร้รอยต่อต่อไป พร้อมทั้งคาดว่าจะเปิดการใช้งานและเพิ่มเติมบริการอื่นๆ บน Chipset-Device-Cloud มากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้


ติดตามนิตยสาร Marketeer ฉบับดิจิทัล
อ่านได้ทั้งฉบับ อ่านได้ทุกอุปกรณ์ พกไปไหนได้ทุกที
อ่านบน meb : Marketeer